เรามันเห็นของอร่อยแล้วก็ทนไม่ไหวเสียด้วย…แม้ว่าช่วงนี้จะมีร้านใหม่ๆ น่าสนใจเปิดกันไม่หวาดไม่ไหว จนเชื่อว่าทุกคนเองก็ตาม(กิน)ไม่ทัน แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกเรามั่นใจว่านักกินทุกคนจะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองพลาดอาหารดีๆ ร้านใหม่ๆ เหล่านี้ไปอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้นมาดูกันดีกว่า ว่าเดือนนี้จะมีร้านอาหาร บาร์ และคาเฟ่อะไรน่าตามไปชิมบ้าง แล้วหากใครเคยไปชิมร้านไหนมาแล้ว ก็ลองมาแชร์กันดูได้นะ
BIRDIES Bangkok
ร้านไก่ทอดสไตล์ตะวันตกที่อยากให้ทุกคนชวนเพื่อนมานั่งกินด้วยกันแบบไม่ต้องคีพลุค โดยเมนูจะแบ่งเป็นของกินเล่นและกินจริง ให้เราสั่งจานเคียงอื่นๆ มากินเล่นพร้อมไก่ทอด เช่น Everything ‘Parker House’ (280 บาท) ซาวโดวจ์ยีสต์อายุ 20 ปี กินคู่กับชิกเก้นบัตเตอร์ หรือ Burrata (530 บาท) ชีสบูราตาราดพริกและน้ำมันงาสไตล์จีน
ส่วนไก่ทอดจะมีให้เลือก 3 ส่วน ได้แก่ ไม่มีกระดูก น่อง และปีก มาพร้อม 3 รสชาติให้เลือกคือ Naked, Hot Honey และ Spicy พร้อมกับซอสอีก 5 สูตรให้ดิปเพิ่มรสชาติ ได้แก่ ซอสไวต์บาร์บีคิว, ซอสมายองเนสสไตล์คลาสสิกอเมริกัน, ซอสกระเทียมสไตล์เลบานอน, ซอสครีมขาวใส่สมุนไพร และซอสมัสตาร์ดบาร์บีคิว
และสำหรับคนที่กินมังสวิรัติ ร้านก็มีมะเขือทอดสไตล์เดียวกับไก่เสิร์ฟเช่นกัน
(อ่านรีวิวได้ที่ thestandard.co/life/birdies-bangkok/)
BIRDIES เปิดวันพุธ-จันทร์ เวลา 17.00-01.00 น.
Araksa Tea Room
ไร่ชาจากเชียงใหม่เดินทางมาเปิดร้านเสิร์ฟชาออร์แกนิกหอมๆ พร้อมขนมและอาหารให้ทุกคนถึงกรุงเทพฯ โดยร้านอยู่ในย่านเจริญกรุง มาพร้อมการตกแต่งดูอบอุ่น ธรรมชาติ และน่าแวะมานั่งจิบชาผ่อนคลาย แถมยังมีเวิร์กช็อปชิมชาจัดให้คนรักชาแวะไปพูดคุยกันได้เรื่อยๆ ด้วย
Araksa Tea Room เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 10.00-22.00 น.
Shabu Nashi
Shabu Nashi เป็นร้านชาบูที่เน้นความเรียบง่าย ไม่หวือหวา เสิร์ฟชาบูและเนื้อเกรดพรีเมียมให้ชิมสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม คือการเสิร์ฟเนื้อแบบหน้าใหญ่โชว์ลายเต็มชิ้น ไปจนถึงน้ำซุปใสๆ เบาๆ ที่จะช่วยชูรสเนื้อและทำให้เราตักซดได้เรื่อยๆ จนจบ
ชาบูชุดหนึ่งจะเสิร์ฟข้าวหรืออุด้งเส้นสด ไข่นกกระทายางมะตูม สลัด ผักชาบู ซอสงาโฮมเมด และซอสพอนสึที่ใช้ยูซุญี่ปุ่น ทุกคนแค่ต้องเลือกเนื้อริบอายชนิดที่อยากชิม เช่น Kuroge Wagyu (1,250 บาท) เนื้อจากจังหวัดอิวาเตะที่รสชัดเจน ไขมันแทรกกำลังดี ลวกให้พอสุกไม่เกิน 10 วินาทีแล้วชิมคู่ซอสพอนสึได้เลย
(อ่านรีวิวได้ที่ thestandard.co/life/shabu-nashi/)
Shabu Nashi เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 11.00-14.00 น. และ 17.00-22.00 น.
Shersanctuary Tea Bar
Shersanctuary บาร์น้ำชาเล็กๆ ที่ไม่ใช่พื้นที่เฉพาะคนรักชาเท่านั้น แต่คือพื้นที่ปลอดภัยที่เปิดรับทุกคนให้แวะเข้ามานั่งพักใจ หันหลังให้กับโลกภายนอกแสนวุ่นวาย โดยมีชารสละมุนคอยช่วยเยียวยาจิตใจ
ที่นี่เสิร์ฟเฉพาะชาใสเท่านั้น มีให้เลือกทั้งชาญี่ปุ่นและชาจีน รวมไปถึงชาเบลนด์ซิกเนเจอร์ที่ เปียว เจ้าของร้านคิดขึ้นเอง อย่างเช่น ‘Wine Not ? (300 บาท)’ เสิร์ฟชาในแก้วไวน์และกินคู่กับชีส เพราะตั้งใจเบลนด์ชาแก้วนี้ให้มีรสเปรี้ยวโดยใช้กระเจี๊ยบ และมีความฝาดนิดๆ คล้ายไวน์
(อ่านรีวิวได้ที่ thestandard.co/life/shersanctuary-tea-bar)
Shersanctuary Tea Bar เปิดทุกวัน เวลา 10.00-18.00 น. (แนะนำให้จองล่วงหน้า)
Restaurant Int
ร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งรสชาติไทยแห่งใหม่ นำโดย เชฟน็อค-พัทธ์อินทร์ พรหมสวัสดิ์ ที่ถนัดใช้เทคนิคการทำอาหารสไตล์ฝรั่งเศสมารังสรรค์อาหารไทยๆ ให้หน้าตาแตกต่างไปจากเดิม ทว่าหากได้ชิมแล้วเราจะเจอรสชาตินั้นที่คุ้นเคย
Int เพิ่งเปิดครัวเสิร์ฟอาหารได้นานไม่เกินเดือน โดยเปิดอยู่บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น สุขุมวิท 20 และเริ่มด้วยเมนู 13 คอร์สที่มีกลิ่นอายอาหารสไตล์เชฟน็อค แต่จัดจ้านมากขึ้น สนุกมากขึ้น และสร้างสรรค์มากขึ้น เมนูที่เราชอบอย่างเช่น หมูกระทะ ทอดมัน ข้าวเหนียวหมูลาบทอด
Restaurant Int เปิดวันพฤหัสบดี-อาทิตย์ เวลา 17.30-23.00 น.
161 Crypt Bar
บาร์ค็อกเทลแห่งใหม่ที่เน้นความหนักแน่นแบบลูกผู้ชาย ที่นี่เปิดอยู่ชั้นใต้ดินของร้านอาหาร 161 Cafeteria เมื่อเดินลงมาจะพบกับบรรยากาศสไตล์ตะวันตกย้อนยุค ลองนึกถึงร้านนั่งดื่มลับๆ ที่สุภาพบุรุษมักนัดพูดคุยกัน
ค็อกเทลแต่ละแก้วได้แรงบันดาลใจมาจากประวัติศาสตร์ต่างๆ ทั่วโลก เกิดเป็นซิกเนเจอร์ค็อกเทลที่เน้นความเข้ม ดิบ และซับซ้อน เมนูที่อยากให้ลองเช่น Six Feet Under (480 บาท) หรือ Guess? (400 บาท) เมนูลับที่ไม่บอกส่วนผสม
161 Cafeteria and Crypt บาร์เปิดทุกวัน เวลา 18.00-00.00 น.
Progress Cafe & Bar
Progress Cafe & Bar อยู่ในซอยอารีย์ 1 ตอนกลางวันเป็นคาเฟ่บรรยากาศกันเอง แต่เราชอบช่วงกลางคืน เพราะร้านจะเปลี่ยนไปอีกคาแรกเตอร์ จากคาเฟ่โมเดิร์นๆ กลายเป็นบาร์ไวบ์ซิตี้ที่จะเสิร์ฟค็อกเทลในธีมคน(กำลัง)ทำงาน
ค็อกเทลของร้านหยิบโปรเซสการทำงานต่างๆ มาเป็นแรงบันดาลใจ เช่น ‘Final Never Final’ แก้วสุดท้ายที่ไม่เคยสุดท้าย เหมือนตอนส่งงานไฟนอลที่ไม่เคยจบครั้งเดียว จึงเกิดเป็นค็อกเทลเนโกรนีทวิสต์ที่ใส่บิทเทอร์ทำเองจากเห็ดชิตาเกะ
(อ่านรีวิวได้ที่ thestandard.co/progress-cafe-bar/)
Progress Cafe & Bar เปิดทุกวัน เวลา 10.00-23.00 น. (วันจันทร์-อังคาร ปิด 18.00 น.)
365 Days Jazz Bar
บาร์แจ๊สไวบ์ดีบรรยากาศวินเทจ เครื่องดื่มของ 365 Days Jazz Bar จะเน้นค็อกเทลทำจากผลไม้สด แต่ก็มีคลาสสิกค็อกเทลให้เลือกดื่มเช่นกัน โดยซิกเนเจอร์ค็อกเทลจะมีทั้งหมด 8 แก้ว แต่ละเมนูได้แรงบันดาลใจมาจากบทเพลงแจ๊สในตำนาน เช่น Fly Me to the Moon (380 บาท) วอดก้าผสมชากุหลาบผิวส้ม น้ำมะพร้าว ท็อปด้วยโฟมยูซุ
(อ่านรีวิวได้ที่ thestandard.co/365-days-jazz-bar/)
365 Days Jazz Bar เปิดทุกวัน เวลา 19.00-01.00 น.
Kanori Hand Roll Bar
ร้านอาหารญี่ปุ่นที่เน้นเมนูโรล หรือ ‘มากิ’ และจะม้วนให้ชิมกันสดๆ หน้าเคาน์เตอร์บาร์ เพราะร้านอยากให้ทุกคนได้ลองกินมากิสดๆ ใหม่ๆ ที่สาหร่ายยังกรอบ หอม จึงได้รสชาติอีกแบบที่หากินได้ยาก นอกจากในร้านโอมากาเสะเท่านั้น
เมนูจะมีทั้งแบบอะลาคาร์ต ราคาเริ่มต้นโรลละ 130-320 บาท และแบบเซ็ตเมนู ที่มีให้เลือกเริ่มต้นที่ 4 โรล 590 บาท, 5 โรล 790 บาท, 6 โรล 990 บาท และ 7 โรล 1,290 บาท ในแต่ละเซ็ตร้านจะเตรียมเมนูยอดนิยมหรือไม่ควรพลาดเอาไว้ให้แล้ว พอเราเลือกเซ็ตที่อยากชิมได้ เชฟก็จะค่อยๆ ทำเสิร์ฟให้ชิม
(อ่านรีวิวได้ที่ thestandard.co/life/kanori-hand-roll-bar)
Kanori เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 11.00-14.30 น. และ 17.30-22.00 น.
Sesame Shabu Shabu
ร้านชาบูชาบูและสุกี้ยากี้สไตล์ญี่ปุ่นที่ไม่ได้มีแค่สองเมนูนี้ เพราะ Sesame Shabu Shabu ตั้งใจเป็นร้านอาหารแบบ All Day Dining ที่ทุกคนแวะมานั่งกินชาบู สุกี้ยากี้ หรืออาหารญี่ปุ่นเป็นมื้อเช้าได้ แล้วหลังจากแฮงเอาต์ทำกิจกรรมเสร็จก็แวะมานั่งกินดื่มกันต่อได้อีกรอบจนค่ำ
ชาบูชาบูและสุกี้ยากี้จะเสิร์ฟมาเป็นเซ็ต ในชุดหนึ่งมีผัก ข้าวธัญพืชหรือเส้นบุก และเนื้อสัตว์ขนาดตามที่เราเลือก (150-200 กรัม) ซึ่งทีเด็ดของร้านก็คือเนื้อพรีเมียมที่ส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่น เช่น A5 Wagyu Misuji (990-1,290 บาท) เนื้อใบพายลายสวย มีไขมันแทรกละเอียด กินแล้วนุ่มลิ้น เข้ากับซอสงาสูตรเฉพาะของร้าน
(อ่านรีวิวได้ที่ thestandard.co/life/sesame-shabu-shabu)
Sesame Shabu Shabu เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 11.00-22.00 น.
Kynd Kulture
คาเฟ่สำหรับสายเฮลตี้ Kynd Kulture เป็นร้านใหม่ที่ตั้งอยู่ในโครงการที่รวมทุกอย่างสำหรับคนอยากมีไลฟ์สไตล์ดีต่อสุขภาพ ซึ่งร้านนี้ตั้งอยู่หน้าสุดของโครงการ มีทั้งเมนูเครื่องดื่ม ขนม และอาหารที่จะเน้นไปทางแพลนต์เบส บอกก่อนว่าแพลนต์เบสที่นี่กินง่าย ไม่ได้มีรสชาติที่ต่างจากอาหารปกติเลย แถมวัตถุดิบของร้านก็เป็นแบบออร์แกนิก อะไรปลูกได้คือปลูกเอง
Kynd Kulture เปิดทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น. (ส่วนวันพฤหัสบดี-เสาร์ ปิดเวลา 20.00 น.)
Khao-Sō-i Bangkok
ร้านข้าวซอยเส้นสดชื่อดังจากเชียงใหม่ Khao-Sō-i ข้าวโซอิ มาเปิดสาขาแรกในกรุงเทพฯ อยู่ที่ถนนคอนแวนต์ ความพิเศษของร้านนี้คือ ท็อปปิ้งข้าวซอย ที่เขาตั้งใจยกระดับเพื่อทำให้เมนูข้าวซอยกลายเป็นอาหารสร้างชื่อระดับประเทศ
เมนูแนะนำเช่น ข้าวซอยเนื้อวากิวอิวาเตะ F1 ซึ่งเป็นเมนูที่มีขายเฉพาะสาขากรุงเทพฯ เท่านั้น
Khao-Sō-i สาขากรุงเทพฯ เปิดทุกวัน เวลา 10.00-20.00 น.