×

สูตรลับขยายธุรกิจ SMEs ทำอย่างไรให้เติบโตจากร้อยสู่พันล้าน

17.10.2021
  • LOADING...

สำหรับ SMEs ที่กำลังคิดอยากจะเติบโตไปอีกขั้น สิ่งที่ควรเร่งทำคือการหาโอกาสทางธุรกิจหรือ Business Model ใหม่ๆ เพื่อ Scale Up ธุรกิจให้พร้อมขยายไปอีกระดับ

 

The SME Handbook by UOB เอพิโสดนี้ ชวนมาคุยกันว่า กรอบคิดในการขยายธุรกิจ ​SMEs ให้เติบโตต่อเนื่องคืออะไร อุปสรรคและความท้าทายอยู่ที่ตรงไหน การวางกลยุทธ์ Expansion ที่ดีต้องทำอย่างไร จากเคสจริงของผู้มากประสบการณ์อย่าง เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล เจ้าของบริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด (Smooth-E และ Dentiste) ผู้ก่อตั้ง Business Incubation School

 


 

สำรวจ BOSI DNA ก่อนเริ่มต้นวางแผน Scale Up 

รูปแบบของการ Scale Up ในตำราเล่มไหนๆ ก็เขียน เขาอาจจะบอกว่าการ Scale Up ต้องมี S-Curve แต่สำหรับคนที่เปิดบริษัทโดยเริ่มจากศูนย์ไปจนถึงหมื่นล้านได้ มันจะมี S-Curve เกิดขึ้นเรื่อยๆ เป็นร้อยๆ ครั้ง

 

ถ้าจะให้บอกว่ารูปแบบการขยายธุรกิจมีกี่โมเดล ผมจะพูดตามตำราก็ได้ แต่อยากให้ทุกคนเริ่มต้นตรงนี้ก่อน คือผมไม่แน่ใจว่าทฤษฎีเบื้องต้นของแต่ละคนอยู่ที่ตรงไหน ธุรกิจเป็นของคุณตั้งแต่เริ่มต้น หรือเป็นการสานต่อธุรกิจของพ่อแม่ จากนั้นผมจะให้แบบทดสอบ BOSI DNA เพื่อที่จะรู้ว่าดีเอ็นเอของคุณเหมาะกับงานแบบไหน ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์มากในการต่อยอดเพื่อ Scale Up ธุรกิจในอนาคต

 

BOSI DNA คือแบบทดสอบที่ใช้ประเมินความถนัดในการทำงานด้านต่างๆ ของแต่ละบุคคล ประกอบด้วย

B = Builder นักวางกลยุทธ์ เช่น โดนัล ทรัมป์

O = Opportunist นักการตลาด เช่น ริชาร์ด แบรนสัน 

S = Specialist คนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น บิล เกตส์ 

I = Innovator คนคิดนอกกรอบ เช่น สตีฟ จ็อบส์

 

ซึ่งหลังจากสำรวจตัวเองแล้ว ถ้าพบว่าตัวเองเป็นตัว O ให้หาทีมงานที่เป็นตัว I, S และ B มาประกบ แล้วธุรกิจคุณจะก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วมาก แต่ที่เจ้าของธุรกิจบางคนติดขัดก็อาจเป็นเพราะว่าตัวเองเป็นตัว O แต่พยายามไปทำงานของคนที่เป็นตัว B, S, I ซึ่งจริงๆ ก็ทำได้ แต่มันจะไปได้ช้าครับ

 

ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ คือบริษัทเวิร์คพอยท์ คุณปัญญา นิรันดร์กุล กับคุณประภาส ชลศรานนท์ เป็นกรณีศึกษาที่ชัดมาก คุณปัญญามีความเป็นตัว S เป็นสถาปนิก และมีส่วนผสมของตัว I นิดหน่อย คือมีความคิดสร้างสรรค์ ส่วนคุณประภาสเป็นตัว B และ O ซึ่งเมื่อสองคนนี้จับมือทำงานร่วมงานกันแล้วเรียกว่าเพอร์เฟกต์ จนทำให้เวิร์คพอยท์เติบโตได้อย่างรวดเร็ว

 

สำหรับคนที่เปิดบริษัทโดยเริ่มจากศูนย์ไปจนถึงหมื่นล้านได้ มันจะมี S-Curve เกิดขึ้นเรื่อยๆ เป็นร้อยๆ ครั้ง

 

เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองเหมาะกับงานประเภทไหน สิ่งที่จะบอกว่าธุรกิจของเราพร้อมแล้วที่จะ Scale Up คืออะไร 

ต้องบอกก่อนว่าไม่มีธุรกิจไหนเลยที่จะทำคนเดียวแล้วสามารถเติบโตไปจนถึงหมื่นล้านได้ ทีมงานต่างหากที่สำคัญมาก นั่นแปลว่าคุณจะต้องมีทีมงานที่เก่งมาประกบตลอด เพราะถ้าไม่มีคนเก่ง แล้วธุรกิจคุณจะโตได้อย่างไร 

 

เจ้าของธุรกิจหลายคนไม่กล้าที่จะควักเงินจ้างพนักงานเก่งๆ เงินเดือนหลักแสน เพราะรู้สึกว่าแพง แต่ถ้ามาคิดดูดีๆ อีกมุมหนึ่งคือคุณไม่ได้จ้างเขานะ จริงๆ แล้วเขาจ้างตัวเขาเอง คนเก่งระดับนั้นเขามาเพื่อที่จะหาเงินให้เรา สมมติว่าเราจ้างเขาในราคา 2 แสนบาท เขาจะหาเงินให้เรา 1 ล้าน แล้วเขาก็เอาไป 2 แสน ที่เหลืออีก 8 แสนเราก็เก็บขึ้นมาได้

 

สิ่งที่ SMEs ต้องมี ถ้าอยากขยายธุรกิจให้เติบโตและประสบความสำเร็จ 

คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะมีสิ่งที่เรียกว่า MAO (Motivation, Ability, Opportunity) ทีนี้การที่คุณจะ Scale Up ขึ้นไป สิ่งที่สำคัญมากคือตัว M คนที่มี Motivation เขาจะเห็นโอกาสตลอดเวลา บางคนอาจจะคิดว่าคนเก่งแปลว่าดี จริงๆ แล้วไม่ใช่นะ บางคนเก่งแต่เขาไม่มีแรงจูงใจ ไม่มีกำลังใจ อย่างไรก็ดันไม่ขึ้น ซึ่งจากที่ผมทำวิจัยมา M คือประมาณ 80% ที่จะมีส่วนผลักดันให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ

 

และเท่าที่ผมจับจุดอ่อนของ SMEs ที่จะสามารถก้าวกระโดดจากหลักร้อยล้านไปเป็นพันล้านได้จะมีอยู่ 2 อย่างคือ Product Innovation และ Marketing ดูอย่างบริษัทระดับโลกอย่าง Apple ที่โตเป็นแสนๆ ล้าน คุณคิดว่าโปรดักต์ของเขาแตกต่างไหมล่ะ แล้วทุกวันนี้คนซื้อ Apple เพราะอะไร เพราะเป็นสาวก เพราะความหลงใหลในแบรนด์ ฉะนั้นปัญหาของ SMEs ที่ผมเจอมาตลอดก็คือ โปรดักต์ของคุณอาจจะยังไม่เจ๋งจริง 

 

อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาของ SMEs ไทยเลยคือ การวางแผน ตามตำราเขาเขียนไว้เลยว่า Fail to Plan = Plan to Fail ผมเคยคุยกับเจ้าของธุรกิจร้อยล้านแล้วตกใจเลยนะที่เขาไม่มีแผนเลยเหรอ เขาบอกว่าแผนอยู่ในสมองผม เดี๋ยวคนอื่นจะรู้หมด ซึ่งสำหรับธุรกิจของผมเองจะต้องมีแผนตลอดว่าอีก 10 ปี 5 ปี 3 ปี 1 ปี เราจะทำอะไรบ้าง วางไว้เป็นแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว 

 

แผนธุรกิจจะดีหรือไม่ดีนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ขอให้คุณมีแผน เพราะบอกได้เลยว่าไม่มีแผนอันไหนที่สมบูรณ์แบบ แต่อย่างน้อยๆ มันเป็นภาพฝันเป้าหมายที่เราอยากจะไป มันทำให้เรามีพลังและไม่หลงทาง มันคงเป็นไปไม่ได้ที่คนจะสามารถวางแผนธุรกิจได้เป๊ะไปทั้งหมด เพราะเมื่อถึงเวลามันมักจะมีความท้าทายหรืออุปสรรคเกิดขึ้นเสมอ 

 

ไม่มีธุรกิจไหนเลยที่จะทำคนเดียวแล้วสามารถเติบโตไปจนถึงหมื่นล้านได้ ทีมงานต่างหากที่สำคัญมาก นั่นแปลว่าคุณจะต้องมีทีมงานที่เก่งมาประกบตลอด เพราะถ้าไม่มีคนเก่ง แล้วธุรกิจคุณจะโตได้อย่างไร 

 

คีย์พอยต์สำคัญของคนที่อยาก Scale Up และทำแผนให้สำเร็จ 

สิ่งที่ผมเจอบ่อยมากๆ เลยคือพวกเราทุกคน Hard Work แต่ไม่ยอม Smart Work ซึ่งคำว่า Smart Work ของผมคือการทำน้อยแล้วได้มาก ธุรกิจ SMEs หลายๆ เจ้าที่ยังยังติดขัดอาจเป็นเพราะคุณกำลังทำมากแต่ได้น้อย

 

Smart Work คือการวางแผน การสร้างแบรนด์ การทำมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งผมคิดว่าที่เขาไม่ทำกันเป็นเพราะว่ายังมองไม่เห็นความสำคัญต่างหาก แล้วที่คุณไม่ทำเพราะว่าทำไม่ได้ใช่หรือเปล่า คุณไม่มีเวลาเหรอ หรือว่าคุณไม่มีความสามารถ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จ้างคนสิครับ มีนักวางแผนเก่งๆ เยอะเลย เจ้าของธุรกิจที่วางแผนได้แต่ทำไม่ได้มีเยอะนะ บางทีเราทำได้แต่คิดไม่ออก ก็ต้องหาคนที่คิดออกมาช่วยเพื่อให้งานมันเดินหน้าได้ไวขึ้น ฉะนั้นคุณต้องเปลี่ยนมายด์เซ็ตได้แล้ว 

 

จุดที่ทำให้ตัดสินใจขยายช่องทาง ขยายไลน์สินค้า และขยายไปสู่ต่างประเทศ 

สำหรับธุรกิจของผมเอง สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจ Scale Up มีอยู่สองจุด หนึ่งคือเพื่อลดความเสี่ยง และสองคือการสานฝัน ในวันที่กระโดดเข้ามาทำธุรกิจนี้ ผมมักจะพูดว่าผมชอบมาร์เก็ตติ้ง ผมต้องทำสินค้าให้เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศให้ได้ 

 

สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ธุรกิจก้าวกระโดดได้ ขอให้ SMEs ทุกคนถามตัวเองนิดเดียวว่าคุณเป็น Business Owner หรือ Entrepreneur สองคำนี้ต่างกันเยอะนะ แค่คุณเปลี่ยนสถานะตัวเองจากอย่างแรกเป็นอย่างหลังได้ ธุรกิจของคุณอาจจะเติบโตขึ้น 10 เท่าเลยก็ได้ ผมจะเล่าให้ฟังว่าสองคำนี้แตกต่างกันอย่างไร

 

Business Owner Entrepreneur

มีไอเดียเดียว และใช้ไปตลอด มีไอเดียใหม่ๆ ทุกวัน ไม่มีที่สิ้นสุด

อยู่กับปัจจุบัน มองอนาคตตลอดเวลา ไม่อยู่นิ่งกับที่

ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง มีความคิดสร้างสรรค์ และเปลี่ยนแปลงตลอด

ทำงานเพื่อผลกำไร ทำงานด้วยแพสชัน แล้วกำไรจะตามมาเอง

มองพนักงานเป็นลูกจ้าง มองพนักงานเป็นทีมงาน

ค่อยๆ ทำทีละโปรเจกต์ ทำหลายๆ โปรเจกต์พร้อมกัน

 

สิ่งสำคัญที่สุดคือ Focus on Change สิ่งที่ Business Owner กลัวที่สุดคือการเปลี่ยนแปลง แต่ Entrepreneur กลับชอบที่จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะเขารู้ว่าโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ยิ่ง ณ วันนี้ที่มีวิกฤตโควิด ถ้าคุณไม่เปลี่ยนก็จะอยู่ไม่ได้ นี่เป็นยุคของ Entrepreneur เป๊ะเลย

 

แผนธุรกิจจะดีหรือไม่ดีนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ขอให้คุณมีแผน เพราะอย่างน้อยๆ มันคือภาพฝันเป้าหมายที่เราอยากจะไป มันทำให้เรามีพลังและไม่หลงทาง 

 

อุปสรรคที่ SMEs ต้องเจอในระหว่างทางของการขยายธุรกิจ 

สิ่งที่ต้องเจอแน่ๆ คือความผิดหวัง สิ่งที่คิดไม่ได้เป็นไปตามที่คิด ออกสินค้าใหม่ก็ยังไม่ใช่ ขายไม่ได้ แต่สิ่งสำคัญคือ คุณต้องมองว่าความล้มเหลวคือความสุข ความล้มเหลวคือการเรียนรู้ ท่องไว้ว่า No Pain No Gain ถ้าไม่เจ็บ คุณไม่ได้อะไรหรอก เช่นเดียวกันกับการทำธุรกิจ ถ้าไม่เฟล คุณก็ไม่โตหรอก

 

ผมเคยคุยกับนักธุรกิจระดับประเทศอย่าง คุณอนันต์ อัศวโภคิน เขาทำงานมา 300 โปรเจกต์ สิ่งที่เขาเห็นเป็นรูปร่างมีแค่ประมาณ 15 โปรเจกต์เท่านั้นเอง อีก 285 โปรเจกต์หายไปไหนก็ยังไม่รู้เลย ฉะนั้นสิ่งที่ผมเปลี่ยนมายด์เซ็ตของทุกคนก็คือ No Pain No Gain ความล้มเหลวจะปูทางไปสู่ความสำเร็จในอนาคต คุณทำ 10 อย่าง แต่อาจจะได้ 1 อย่าง ซึ่งนี่คือความกล้าและความบ้าที่คุณเลือกจะไป

 

ถ้าอยากจะ Scale Up ต้องไม่ทำคนเดียว แล้วจะมีวิธีเลือกพาร์ตเนอร์อย่างไร

อันดับแรกคือต้องเลือกคนที่เขามีความสามารถในการทำส่วนที่เราไม่เก่งและไม่อยากทำ ข้อต่อมาคือการร่วมมือ (Synergy) ต้องมองให้ออกว่าเขาเก่งอะไร เราเก่งอะไร แล้วเราก็มาเป็นพาร์ตเนอร์กัน

 

ส่วนใหญ่ที่พลาดกันเยอะคือตอนสัมภาษณ์งาน เรามักจะเลือกคนที่คุยแล้วรู้สึกถูกคอ แต่หารู้ไม่ว่าที่เป็นอย่างนั้นเพราะเขาเก่งในสิ่งที่เราเก่ง และเขาก็ไม่เก่งในสิ่งที่เราไม่เก่งเช่นเดียวกัน สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้มาช่วยเหลือเราเท่าไรเลย 

 

เพราะฉะนั้นในยุคนี้ Collaborate เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ในเมื่อเราทำคนเดียวไม่ได้ ต้องกล้าๆ ลองดู จริงๆ แล้วมันก็ไม่มีสูตรสำเร็จนะ มันต้องลอง ต้องทำไปเรื่อยๆ ให้มันมีระบบ มีการวางแผน แล้วตกลงกันให้ชัดเจนตั้งแต่เนิ่นๆ มีอะไรก็บอกกันตรงๆ เลยว่าเราต้องการอย่างนี้ เราไม่เก่งอย่างนี้ เราจะทำแบบนี้ เรามีนิสัยตรงกันไหม เราจะไปจุดหมายเดียวกันหรือเปล่า อันนี้สำคัญมาก 

 

ถามตัวเองว่าคุณเป็น Business Owner หรือ Entrepreneur สองคำนี้ต่างกันเยอะนะ แค่คุณเปลี่ยนสถานะตัวเองจากอย่างแรกเป็นอย่างหลังได้ ธุรกิจของคุณอาจจะเติบโตขึ้น 10 เท่าเลยก็ได้

 

Emotional Marketing เทคนิคสำคัญในการทำให้ธุรกิจโตแบบก้าวกระโดด

สิ่งหนึ่งที่ผมแตกต่างจากคนอื่น และอยากจะให้ SMEs ทุกคนได้รู้ข้อมูลตรงนี้คือ ผู้บริโภคมักจะซื้อสินค้าด้วยอารมณ์ 90% และซื้อด้วยเหตุผลเพียง 10% ไม่ว่าจะซื้อรถ ร้านอาหาร ซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า อันนี้เป็นเรื่องของทฤษฎีเลยครับ 

 

เคสที่เห็นได้ชัดของผมคือการดึง ลิซ่า BLACKPINK มาเป็นพรีเซนเตอร์ของแบรนด์ Dentiste ทั้งที่ค่าตัวของเขาสูงมาก เพราะจริงๆ แล้วสินค้าตัวนี้ขายได้เยอะมากอยู่แล้วในเกาหลีนะ นอกจากนี้ยังมีขายในอีก 20 กว่าประเทศ ฉะนั้น Halo Effect ของลิซ่าก็จะไปได้อีกทั้งในจีน ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย แม้กระทั่งลาว กัมพูชา เมียนมา ลิซ่าก็ยังเป็นที่รู้จัก ด้วยเหตุผลตรงนี้ผมจึงคิดว่าเป็นการจ่ายที่คุ้มค่ามาก 

 

ซึ่งหลังจากเปิดตัวพรีเซนเตอร์ 1 เดือน ตอนนี้ยอดขายผมโตขึ้นมา 100% ทันที ทั้งที่ก็ขายอยู่แบบเดิม เพราะแค่คนรู้ว่า Dentisteใช้ลิซ่าเป็นพรีเซนเตอร์ กระแสก็กระพือไปทั้งประเทศอย่างรวดเร็วมาก ฉะนั้น สิ่งที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ว่าให้ขายของด้วยอารมณ์ บางคนอาจจะบอกว่าโปรดักต์ของเขามีส่วนผสมที่ยอดเยี่ยมต่างๆ นั่นคือ 10% ที่เป็นเหตุผล แต่อารมณ์คือ 90% ฉะนั้น การใช้ลิซ่าเนี่ย ต้องบอกว่ามันเป็นจังหวะพอดี การทำธุรกิจมันก็มีจังหวะ แต่ไม่มีทางหรอกที่จะนั่งรอจังหวะที่ดี เพราะคุณไม่รู้ว่ามันจะมาเมื่อไร 

 

ธุรกิจขนาดเล็กที่ตัดสินใจจะทำ Emotional Marketing แต่ยังไม่มีเงินทุนมากพอ ควรเริ่มจากอะไร

จุดที่เริ่มต้นได้ง่ายมากๆ คือแพ็กเกจจิ้งครับ บางครั้งบริษัทเล็กๆ ที่ออกแบบแพ็กเกจจิ้งได้โดนใจลูกค้า ยอดขายก็ดีขึ้นได้ มันเหมือนทำคอนเทนต์ที่มี Storytelling ดีๆ ก็สามารถสร้างอารมณ์ให้ลูกค้าเดินออกไปซื้อได้ทันทีเลยนะ ซึ่งวิธีนี้ใช้เงินน้อยแต่ได้เงินเยอะ 

 

อย่างตัวผมเองสมัยก่อนก็เริ่มจากศูนย์ ผมจ้างพรีเซนเตอร์คนแรกในราคา 50,000 บาท แล้วมันก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ที่พูดแบบนี้ไม่ได้แปลว่าต้องใช้เงินเยอะนะ แต่มายด์เซ็ตของการจ้างพรีเซนเตอร์ก็เหมือนกับการที่เราจ้างพนักงาน บางคนค่าตัว 1 แสนบาท เจ้าของบอกว่าจ้างไม่ไหว ไม่มีเงิน ก็เพราะคุณไม่มีเงินถึงต้องจ้างราคานี้ เขาจะมาหาเงินให้คุณ ผมจ้างพรีเซนเตอร์เพราะว่าผมขายไม่ดี เขามาช่วยผมขาย แต่ถ้าคุณไม่ทำอะไรเลย You get what you pay. คุณจ้างคนเงินเดือน 15,000-20,000 บาท แล้วคุณคิดว่าเขาจะขายให้คุณเท่าไรล่ะ 

 

คุณลองคิดดูว่าถ้าบริษัทมีพนักงาน 10 คน มียอดขาย 100 ล้าน แล้วถ้าเกิดคุณมี 20 คน อย่างน้อยๆ มันก็ต้องขึ้นมาเป็น 150 ล้านบาทไหม มันคงไม่ได้เท่าเดิมหรอก ถ้าเกิดคุณรู้วิธีการเลือกคนที่ใช่มา ถึงแม้จะต้องจ่ายมากขึ้น แต่ยอดขายมันก็ต้องขึ้นตามไปด้วย

 

ท่องไว้ว่า No Pain No Gain ถ้าไม่เจ็บ คุณไม่ได้อะไรหรอก เช่นเดียวกันกับการทำธุรกิจ ถ้าไม่เฟล คุณก็ไม่โตหรอก

 

ตัวอย่างเคสธุรกิจที่ Scale Up ได้อย่างยั่งยืนและประสบความสำเร็จ 

ผมจะยกตัวอย่างโรงสีที่ชลบุรี เป็นโรงสีธุรกิจครอบครัวธรรมดาๆ เลย เขามาเรียนกับผมประมาณ 18 เดือน เมื่อเดือนที่แล้วเขาก็มาแอบกระซิบว่าตอนมาเรียนมีรายได้ 90 ล้านบาท แต่ปีนี้ปิดได้ที่ 300 ล้านบาท และอีกไม่เกิน 3 ปีเขาจะแตะพันล้านบาทแล้ว อย่างเรื่องคน สมัยก่อนเขาทำเองหมดทุกอย่าง ไม่ได้จ้างใคร พอผมบอกว่าต้องจ้างคน เขาก็เริ่มจ้าง พอผมบอกให้ทำมาร์เก็ตติ้ง จากโรงสีที่ขายข้าวไก่ชนที่ดังในระดับอำเภอ เขาใช้มาร์เก็ตติ้งทำให้โรงสีมีชื่อเสียงในระดับจังหวัด จนมาเป็นระดับภูมิภาค และตอนนี้เขากำลังเติบโตเป็นข้าวไก่ชนระดับประเทศ

 

และอีกคนหนึ่งที่ตอนแรกเขาขายของออนไลน์อย่างเดียว ตอนเริ่มต้นก็มียอดขายอยู่ที่ล้านกว่าบาท ผ่านไปแค่ 2 ปี ตอนนี้ยอดเดือนละ 16 ล้านบาท ซึ่งอันนี้เห็นชัดเลยว่าเขาเอาวิธีคิดของผมไปใช้หมดเลย หนึ่งคือจ้างคน สองคือมีโปรดักต์เยอะมาก จากการที่เขามีแค่อย่างเดียวในตอนแรก สามคือการทำสิบอย่างได้หนึ่งอย่าง แทนที่จะมีโปรดักต์เดียวก็เลยทำสิบตัวเลย เพราะเขาเชื่อว่าหนึ่งในสิบนี้มันจะต้องรวยและเติบโตเป็นร้อยล้าน 

 

การทำธุรกิจมันจะมี Risking Zone, Dumb Zone, Losing Zone และ Winning Zone ซึ่ง SMEs เล็กๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ใน Risking Zone หมดเลย วิธีการที่คุณจะโตไปเป็นหลักพันล้านได้คือคุณต้องถ่าง Winning Zone ให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งแต่ละคนก็จะมีวิธีการคิดที่แตกต่างกัน หรือแปลให้ง่ายขึ้นมาก็อาจจะเป็นเรื่องของกลยุทธ์ หรือ Business Model ที่ลงตัว แล้วมันก็จะไปต่อได้

 


 

Credits

 

Host ศิรัถยา อิศรภักดี
Show Producer ปวริศา ตั้งตุลานนท์
Sound Designer & Engineer กฤตพล จียะเกียรติ
Sound Recording Engineer ขจีพรรณ วิจิตรรัตน์

Art Director กริน วสุรัฐกร
Graphic Designer อนงค์นาฎ วิวัฒนานนท์
Channel Manager เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์
Channel Admin เอกราช มอเซอร์
Proofreader วรรษมล สิงหโกมล
Webmaster ไชยพร ศิริกลการ
Social Media Admins วนัชพร ดวงนิล, สุทธกิตติ์​ สุทธาวรรณกุล, ธิติกร ลิ้มทองมณี, วิมลณัฐ พรศิริอนันต์

Archive Officer ชริน จำปาวัน 

  • LOADING...

READ MORE

MOST POPULAR



Close Advertising