TASTE: Via Emilia ร้านอาหารอิตาเลียนที่นำเสนอรสชาติและวัตถุดิบจากเมืองที่ถนนโบราณ Via Emilia พาดผ่าน

ถ้าใครเป็นสายกิน คงจำกันได้ว่าที่นี่เคยเป็นร้านอาหาร Sensi เสิร์ฟอาหารอิตาเลียนแบบแคชวลไฟน์ไดนิ่งมาก่อน แต่ตอนนี้เชฟ Stefano Merlo คนเดิม ได้ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อร้านและคอนเซปต์ใหม่ สู่แนวทางที่เราขอเรียกว่าเป็น ‘อิตาเลียนสองฝั่งฟากถนน’ เพราะนำเสนอรสชาติอาหารและวัตถุดิบจากเมืองต่างๆ ที่ถนนโบราณ Via Emilia พาดผ่าน

ชื่อร้าน Via Emilia มาจากชื่อถนนที่มีความยาวกว่า 200 กิโลเมตร สร้างขึ้นโดยจักรวรรดิโรมันตั้งแต่ 187 ปีก่อนคริสตกาล ถนนเส้นนี้เชื่อมระหว่าง Rimini จากฝั่งทะเลเอเดรียติก ไปยัง Piacenza ในแคว้น Emilia-Romagna และยังเชื่อมกับ Via Flaminia บริเวณ Rimini เพื่อมุ่งสู่กรุงโรมอีกด้วย

ความน่าสนใจคือถนนเส้นนี้ตัดผ่านเมืองที่มีคุณูปการต่อวงการอาหาร ไม่ว่าจะเป็น เพราะเป็นแหล่งกำเนิดของวัตถุดิบหลายชนิด ทั้ง พาร์เมซานชีส (หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกว่า Parmigiano Reggiano) จากแคว้น Emilia-Romagna พาร์มาแฮมจาก Parma หรือน้ำส้มสายชูบัลซามิกจาก Modena ยิ่งไปกว่านั้น Via Emilia ยังผ่านเมืองที่เป็นแหล่งกำเนิดแบรนด์รถยนต์และมอเตอร์ไซค์ระดับโลกอย่าง Lamborghini, Ferrari และ Ducati อีกด้วย

Via Emilia ดัดแปลงจากบ้านเก่าให้กลายมาเป็นร้านอาหาร โดยตกแต่งหน้าร้านด้วยการเพนต์กำแพงให้มีบรรยากาศและเค้าโครงตึกรามบ้านช่องสไตล์โรมันยุคดั้งเดิม แซมด้วยโทนสีส้มและเหลืองที่ชวนนึกถึงบ้านชาวอิตาเลียนที่ต้อนรับครอบครัวและเพื่อนฝูงด้วยความอบอุ่น

เมื่อเข้าไปด้านในจะเจอโต๊ะยาวหน้าบาร์ก่อน ซึ่งเป็นรูปแบบการนั่งรับประทานอาหารที่ชาวอิตาเลียนนิยมในช่วงเย็น โดยนั่งหน้าเคาน์เตอร์บาร์แล้วสั่งของกินเล่นที่เรียกว่า Cicchetti ของกินชิ้นเล็กรูปแบบเดียวกับทาปาส พร้อมด้วยค็อกเทลหรือไวน์ ส่วนใครที่มารับประทานอาหารแบบจริงจังก็มีโต๊ะให้เลือกทั้งสองมุมซ้ายขวา

อาหารอิตาเลียนที่นี่นำเสนอรสชาติอิตาเลียนจากเมืองต่างๆ ที่ Via Emilia ตัดผ่าน พร้อมทั้งใช้วัตถุดิบที่มาจากแคว้นต่างๆ ริมสองข้างทางของถนนเส้นนี้ เริ่มต้นด้วย Il Cotechino di Modena con Crema di Patate (290 บาท) หรือไส้กรอกหมูแบบนิ่มที่นิยมรับประทานในแถบเมือง Modena ผ่านการทำให้สุกช้าๆ จนได้ไส้กรอกที่มีทั้งความนุ่มและฉ่ำในคำเดียว รับประทานพร้อมมันบดเนื้อเนียนที่รองฐานมาด้วย กับซอสพาสลีย์

จานต่อมายังคงเป็นเมนูรองท้อง Piadina Tricolore (320 บาท) ของกินท่ีทำจากแฟลตเบรดแผ่นบาง ปกติแล้ว Piadina จะท็อปด้วยเนื้อหรือชีสต่างๆ ซึ่ง Piadina Tricolore นี้ ท็อปด้วยวัตถุดิบ 3 อย่างด้วยกัน นั่นคือ พาร์มาแฮม ผักร็อกเก็ต และชีส Stracchino ที่ให้สัมผัสนุ่มเนียนและมีรสครีมมี่คล้ายบูราตาชีส

มาถึงพาสต้ากันบ้าง Cappelletti di Magro (350 บาท) จานนี้เป็นพาสต้าที่รูปทรงคล้ายเกี๊ยว สอดไส้ด้วยเนื้อไก่ ริคอตตาชีส และพาร์เมซานชีส คลุกเคล้าในซอสเนยกับใบเสจ แนะนำให้สั่งรับประทานกันหลายคน ต่อด้วย Tagliolini di Gamberi (490 บาท) พาสต้าเส้นแบนสดผัดกุ้งเนื้อเด้งในซอสมะเขือเทศ

Uccelletti Scappati (490 บาท) จานนี้เป็นหมูคุโรบูตะทอดแล้วนำไปม้วน ก่อนที่จะห่อด้วยพาร์มาแฮมแล้วเสียบไม้ย่าง สัมผัสฉ่ำนอกนุ่มใน รสเข้มเต็มคำ มาพร้อมผักสลัดกับมันบด

ต่อด้วยสตูหม้อใหญ่ที่เหมาะสำหรับแบ่งรับประทานกันหลายคน Brodetto di Pesce (850 บาท) เมนูที่นิยมในเมืองริมฝั่งทะเลเอเดรียติก สตูปลาและซีฟู้ดสารพัดอย่างที่ผ่านการต้ม ตุ๋น และเคี่ยวจนรสชาติท้องทะเลรวมอยู่ในหม้อเดียวกัน รับประทานด้วยการนำขนมปังจิ้มกินกับสตู กินแกล้มซีฟู้ด

ปิดท้ายด้วย Torta Barozzi Noci e Amarene (320 บาท) ช็อกโกแลตเค้กเนื้อนุ่มเบาผสมอัลมอนด์กับวอลนัท โรยไอซิ่งจนขาวโพลน เคียงมาพร้อมถ้วยใส่วิปครีมเนื้อเนียนนุ่มกับถั่ววอลนัทและเชอร์รีดำ รับประทานคู่กันโดยตักสลับกันกินไปมา

ถือเป็นอีกหนึ่งร้านอาหารที่เยียวยาจิตใจในช่วงที่ยังเดินทางไปอิตาลีไม่สะดวก อย่างน้อยเราก็ยังได้ชิมรสชาติอิตาเลียนดีๆ แค่นี้ก็ทำให้แอบยิ้มได้แล้ว