เข้าสู่เดือนที่ 3 ของปี 2565 อย่างเป็นทางการ เดือนนี้บนถนนมหาเศรษฐ์ ย่านสี่พระยา ได้ต้อนรับค็อกเทลบาร์น้องใหม่อีกแห่งนาม ‘มหานิยม (Mahaniyom)’ บนชั้น 2 ของร้านอาหาร 100 มหาเศรษฐ์ บาร์ที่ถือเป็นการรวมตัวของบาร์เทนเดอร์และเชฟที่ผู้รักวัตถุดิบไทยและสนับสนุนการใช้วัตถุดิบทุกชนิดอย่างคุ้มค่า
มีอะไรเกิดขึ้นมากมายที่บาร์แห่งนี้ที่เราอยากค่อยๆ เล่าให้คุณฟังทีละอย่าง เริ่มจาก ‘มหานิยม’ เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มคนที่อยู่ในวงการอาหารและเครื่องดื่มมากมายในโปรเจกต์เดียว นำโดย หนึ่ง-รณภร คณิวิชาภรณ์ และ แจน-เจนญ์ณรงค์ ภูมิจิตร ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งสองทำบาร์ด้วยกันหลายที่อย่าง Backstage Cocktail Bar, #FineTheLockerRoom และ #FindThePhotoBooth ส่วนสำหรับในโปรเจกต์นี้ทั้งสองมาจับมือร่วมกับทีมเชฟอย่าง เชฟชาลี กาเดอร์ (100 มหาเศรษฐ์, Holy Moly, Mickeys Diner และ วรรณยุกต์) และ เชฟแรนดี้-ชัยชัช นพประภา (Fillets และ CUTTS Sushi Bar) พร้อมด้วย อิ๊บ-ณิชาภา มุ่งเพียร (Wine Bridge) เข้ามาบริหาร เรียกว่าแค่เห็นรายชื่อทีมงานก็อยากเห็นเมนูแล้วว่าจะออกมาเป็นอย่างไร
โดยชื่อร้านคุณก็อาจจะพอเดาได้ว่าตั้งใจให้ล้อกับร้านอาหารข้างล่าง ที่ยังคงความเป็นไทยและให้ความสนุกสนาน ความหมายของชื่อที่หมายถึงความนิยม ความป๊อปปูลาร์ ถูกสื่อสารผ่านการตกแต่ง ที่เปลี่ยนชั้นสองของบ้านไม้คลาสสิกให้มีคาแรกเตอร์จัดจ้านร่วมสมัยมากขึ้นด้วยสีสันงานผ้า การจัดไฟ รวมถึงไฟนีออนดัดทั้งชื่อร้านบริเวณหลังบาร์และรูปเสือที่ถือเป็นมาสคอตของร้าน เลือกโซนที่นั่งที่คุณชอบไม่ว่าจะเป็นหน้าบาร์ หรือโซฟาตัวใหญ่ เอนตัวพิงหมอนข้างสามเหลี่ยม แล้วเลือกเมนูค็อกเทลได้เลย
เครื่องดื่มของที่นี่มาในคอนเซปต์ ‘Resourceful Cocktail’ หรือการเลือกใช้วัตถุดิบแต่ละอย่างให้เต็มที่คุ้มค่ามากที่สุดตามแนวคิดแบบ Zero Waste เพิ่มเติมคือใน 1 แก้วจะเลือกวัตถุดิบหลัก 1 อย่าง ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่เราคุ้นชินกันดี โดยใช้องค์ประกอบทั้งหมดจากวัตถุดิบนั้นๆ ในแก้วเดียว เกิดเป็นความท้าทายว่าองค์ประกอบแต่ละอย่างจะสร้างรสชาติที่แตกต่างกันและบาลานซ์เป็นค็อกเทลแก้วเดียวได้อย่างไร ซึ่งเราว่าความชาเลนจ์นั่นแหละคือสิ่งที่สร้างความสนุกให้ที่นี่
เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นเราเริ่มจากค็อกเทลแก้วแรก Pineapple (390 บาท) แก้วนี้เลือกสับปะรดเป็นวัตถุดิบหลัก เริ่มจากการนำใบสับปะรดไป Dehydrate แล้วบดเพื่อแช่กับเวอร์มุท เปลือกสับปะรดถูกเอาไปหมักเป็นเครื่องดื่มที่เรียกว่า เทปาเช ส่วนน้ำสับปะรดนั้นนำไปกลั่นกับพริกไทยเขียวทำเป็นคอร์เดียล นำส่วนผสมที่ได้มาผสมกับเหล้าจินที่แช่ไว้กับผักแพวก่อนท็อปด้วยโซดา แก้วนี้หอมสับปะรดแทรกกลิ่นสนุกๆ ของผักแพว ให้ความสดชื่นเหมาะเป็นแก้วเริ่มต้นของคืน
Pomelo (390 บาท) แก้วนี้ใช้ส้มโอเป็นหลัก เริ่มจากใบส้มโออบแห้งทำเป็นชา ตัวเปลือกนำไปทำน้ำหวานที่เรียกว่า Oleo-Saccharum (หรือการเอาเปลือกไปแช่กับน้ำตาลเพื่อให้น้ำตาลดึงน้ำมันจากตัวเปลือกออกมา เกิดเป็นน้ำเชื่อมที่เอามาผสมในแก้วนี้) ก่อนเอาไปผสมมะลิและกรดแอปเปิ้ลทำเป็นคอร์เดียลอีกที จากนั้นผสมกับน้ำส้มโอ เวอร์มุทโรเซ และเหล้ารัมที่แช่กับผักแขยง เหยาะด้วยทิงเจอร์พริก ที่เกิดจากการนำเนื้อขาวของส้มโอไปแช่กับแอลกอฮอล์และพริก แก้วนี้ยังไม่จบ เพราะแครกเกอร์ที่เสิร์ฟมาข้างกันคือกากที่เหลือจากการคั้นน้ำส้มโอ ผสมกับเมล็ดแตงโม งา พริก และเกลือ ขั้นตอนเยอะมากจริงๆ แต่ให้ผลลัพธ์ที่บาลานซ์ หอมส้มโอกับมะลิมาก
แน่นอนว่าเมื่อแชร์พื้นที่กับร้านอาหาร ต้องมีการหยิบยืมเอาส่วนผสมจากข้างล่างขึ้นมาทำเป็นค็อกเทลด้วยอยู่แล้ว แก้วนี้มีชื่อว่า Cow (390 บาท) หรือจะเรียกว่าเป็นสเต๊กเนื้อในแก้วก็ไม่ผิดนัก ส่วนผสมหลักของแก้วนี้คือเนื้อจัสมินวากิว ที่เลือกเอาส่วนมันเนื้อ และ Brown Butter มา Fat Wash กับบรั่นดี ถัดมาเป็นอีกหนึ่งส่วนผสมที่เกิดจากการนำไวน์แดง มัลเบอร์รี มิโซะ และปาล์มชูการ์ มาผ่านการทำให้ใส (Clarify) ด้วยนม มิกซ์ทั้งสองส่วนผสมเข้าด้วยกันและเสิร์ฟกับฟองบลูชีสด้านบน แก้วนี้จิบตัวน้ำแล้วจึงดูดฟองเข้าไป
ของคาวถูกนำมาทำค็อกเทลไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะค็อกเทลก็มีสไตล์ที่เป็น Savoury กินแห้วเรียกน้ำย่อยชวนหิว นอกจากวัวแล้วอีกหนึ่งเซเวอรีดริงก์คือแก้ว Squid (390 บาท) แก้วนี้เอาปลาหมึกแห้งไปต้มกับน้ำมะเขือเทศที่ถูกทำให้ใสแล้ว ผสมกับคอร์เดียลขิงดอง วอดก้า เมซคาล มิริน ท็อปด้านบนด้วยหมึกดำที่เอาไปผสมไว้กับสาเก
จบแก้วสุดท้ายด้วยกาแฟ บาร์เทนเดอร์ของเราบอกว่าตั้งใจอยากทำแก้วจากกาแฟที่ให้คาแรกเตอร์แตกต่างจากคลาสสิก Coffee Cocktail ที่ให้ความเป็นกาแฟจ๋าๆ ส่วนแก้วนี้ Coffee (390 บาท) เบสด้วยเหล้าจิน ไวต์พอร์ตไวน์ เปลือกกาแฟ และดอกกาแฟ ท็อปด้วยโฟมอุ่นๆ ที่ผสมฝรั่งกับเมล็ดกาแฟไว้ด้วยกัน
ด้านอาหารเชฟชาลีก็จัดเต็มไม่แพ้กัน เมนูของด้านบนถูกคิดใหม่เป็นสแน็กที่แกล้มกินกับค็อกเทลอย่าง ข้าวเกรียบกุ้ง (150 บาท) หรือ หอยกระป๋อง (250 บาท) แต่ก็มีจานไฮไลต์บางจานของ 100 มหาเศรษฐ์อย่าง ไขกระดูงาขี้ม่อน (200 บาท) ที่เสิร์ฟด้านบนด้วย เพียงแต่ไซส์จะเล็กลงให้กินง่ายขึ้น
อาหารแต่ละจานเกิดจากแรงบันดาลใจต่างๆ กันของเชฟชาลีอย่าง ข่างปอง (160 บาท) อาหารเหนือที่เอาผักต่างๆ มาชุบแป้งทอด ส่วนเวอร์ชันของเชฟชาลีเป็นมะละกอฝานชิ้นกว้าง ชุบกับแป้งที่มีส่วนผสมของปลาร้า ทอดกรอบจิ้มกินกับแจ่วยวน
จิ้นตุ๊บ (290 บาท) คือเนื้อทุบที่เอาเนื้อไทยวากิวไปแช่น้ำปลา ตากแดดเดียวก่อนทอด และทำมาทุบๆ เป็นเส้นๆ เสิร์ฟกับน้ำพริกข่าที่เราว่าโรยคลุกก่อนกินได้เลย ส่วนใครมองหาอะไรที่อิ่มขึ้นมานิดที่นี่ก็มี หมูปิ้ง (200 บาท) ที่ใช้สันคอหมูออร์แกนิกปิ้ง กินกับข้าวเหนียวและแจ่ว
หลังจากใช้เวลาอยู่ที่นี่สักพัก เราว่าคุณอาจจะรู้สึกเหมือนกันว่า ‘มหานิยม’ เป็นชื่อที่เหมาะกับสเปซแห่งนี้ เพราะความสดใส สนุกสนาน ถูกใส่ลงไปในทุกๆ รายละเอียด ตั้งแต่การตกแต่ง อาหารรสจัด จนถึงค็อกเทลที่เปลี่ยนวัตถุดิบแสนป๊อปปูลาร์ให้เกิดคาแรกเตอร์ใหม่ๆ รอให้เหล่านักชิมไปลอง ทิ้งท้ายว่าค็อกเทล Pink Me Up ซิกเนเจอร์ของพี่หนึ่งที่พาให้เขาคว้าแชมป์โลกมาแล้วก็มีเสิร์ฟที่นี่ด้วยเช่นกัน
มหานิยม (Mahaniyom Cocktail Bar)
Open: เปิดให้บริการวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 17.00-23.00 น. (หรือเวลาตามที่รัฐกำหนด)
Address: ชั้น 2 ร้าน 100 มหาเศรษฐ์ สาขาสี่พระยา
Budget: ค็อกเทลเริ่มต้น 390 บาท
Contact: 06 1664 6588
Website: Mahaniyom Cocktail Bar
Map:
บทความที่เกี่ยวข้อง: