ถ้าเดินขึ้นมาเจอร้านอาหารแนวไซไฟที่ซ่อนอยู่บนชั้น 4 ในย่านตลาดน้อยแห่งนี้ ทุกคนจะรู้สึกได้ทันทีว่ามีอะไรที่ไม่ธรรมดา และเหตุผลที่ร้านตั้งชื่อว่าแกะสายฟ้า ‘Electric Sheep’ ก็เพราะสองเชฟเจ้าของร้านได้แรงบันดาลใจมาจากนวนิยายแนวดิสโทเปียเรื่อง Do Androids Dream of Electric Sheep? ฟิกชันจากยุค 70 ที่เล่าถึงวันที่โลกล่มสลายจนมนุษย์ต้องใช้ชีวิตอยู่กับแอนดรอยด์ เพราะแทบไม่มีสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่
แล้วเราจะกินอะไร ใช้ชีวิตอย่างไร ทุกอย่างถูกจำลองมาอยู่ในร้านอาหารแห่งนี้หมดแล้ว
The Vibe
Electric Sheep เปิดอยู่ในตึก The Warehouse ตลาดน้อย ริมถนนเจริญกรุง ทุกคนต้องเดินไต่บันไดขึ้นมาจนถึงชั้น 4 แล้วจะพบกับร้านอาหารแห่งนี้ที่รอต้อนรับอยู่ ด้านในทุกคนจะพบห้องสีแดงที่ใช้เก็บของหมักดอง พื้นที่นั่งกินอาหารที่ดูสบายๆ กว่าร้านทั่วไป ห้องครัวแบบกึ่งเปิดที่แทบไม่ใช้ไฟฟ้า กระดานจดออเดอร์ที่ดูเหมือนยกมาจากห้องล้างฟิล์ม และเคาน์เตอร์บาร์ด้านในสุดที่ตกแต่งด้วยกราฟิตี้
อีกความลับหนึ่งที่เชื่อว่าหลายคนอาจไม่รู้ เพราะ Electric Sheep ใส่สิ่งนั้นลงไปได้อย่างแยบยล ก็คือความยั่งยืนที่ซ่อนอยู่ในหลายๆ ดีเทล ตั้งแต่โต๊ะและจานกินข้าวที่ทำจากวัสดุรีไซเคิล หมอนอิงและชุดพนักงานที่ทำจากขวดพลาสติก ครัวที่ไม่ใช่เครื่องมือไฟฟ้า การกำจัดขยะเศษอาหารแบบ Zero Waste เพื่อทำเป็นปุ๋ยใช้ปลูกผักสมุนไพรบนชั้นดาดฟ้า และที่นี่ใช้วัตถุดิบของไทย 100% ในทุกๆ จานอาหารด้วย…อ่อ รวมถึงเครื่องดื่มเช่นกัน
The Taste
เมนูของ Electric Sheep เสิร์ฟเป็นจานเล็กๆ เหมาะสำหรับแชริ่ง โดยมีกลิ่นอายเอเชียผสมเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งเป็นบ้านเกิดของ 2 เชฟ คือ Amerigo Sesti ผู้เป็นชาวอิตาลี และ Yoan Martin ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส ทั้งสองเคยทำงานร่วมกันมาตั้งแต่ครัวร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งติดดาว ก่อนออกมาเปิดร้านอาหารด้วยกันเพราะอยากปล่อยของในสไตล์ตัวเอง
“พวกเราตั้งใจใช้วัตถุดิบในประเทศไทยเท่านั้น อะไรที่หาไม่ได้หรือไม่มี ก็จะช่วยกันทดลองทำมันขึ้นมาด้วยการใช้วัตถุดิบอื่นๆ แทน ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นของในประเทศไทยด้วย” เชฟทั้งสองบอก และการทดลองที่ว่าก็อย่างเช่น พวกเขาอยากใช้เคเปอร์ (Caper) แต่เป็นพืชจากต่างประเทศ สองเชฟจึงกำลังทดลองนำองุ่นลูกเล็กๆ จากไร่ไวน์ที่เขาใหญ่มาดองให้มีรสชาติคล้ายกันแทน
อาหารที่ร้าน Electric Sheep จึงเต็มไปด้วยความสนุกแต่ยังคงเข้าถึงง่าย และแน่นอนว่าเปลี่ยนวัตถุดิบไปตามฤดูกาล โดยเสิร์ฟในรูปแบบอะลาคาร์ตและ Chef’s Cuts เซ็ตรวมเมนูแนะนำสำหรับคนที่ไม่อยากเลือกเอง
เมนูแนะนำมีตั้งแต่ของกินเล่นเสียบไม้ อาทิ ปูนิ่มทอด อัลโย่ โอริโอ่ (320 บาท/2 ชิ้น) เราชอบเมนูนี้เพราะราดด้วยซอสพริกรสหวาน หรือเมนูอื่นๆ อย่าง กุ้งลายเสือ พริกหนุ่ม หอมแดงดอง (330 บาท/2 ไม้), หมึกสาย ไวน์หวานบุษบา (240 บาท/2 ชิ้น), เห็ดหัวลิง มะนาวดองทับเที่ยง น้ำมันหอมเจียว (280 บาท/2 ไม้), ซูกินี เพสโต้ถั่วลายเสือ วนิลาเขาใหญ่ (180 บาท/2 ไม้) ก็เหมาะสำหรับคนอยากกินอะไรเบาๆ จับคู่เครื่องดื่มค็อกเทลที่ร้านใช้สุราท้องถิ่นเท่านั้น
ปลากะมงยักษ์ กรานิต้าใบมะขาม (350 บาท) เป็นเมนูที่เราชอบมาก ทั้งเนื้อปลาและกรานิต้าทำให้กินแล้วเย็นสดชื่น และพร้อมสำหรับจานหนักรสชาติเข้มข้น
เราเชื่อว่าหลายคนต้องชอบ ยอคกี้ฟักทอง หมูตุ๋น รีคอตต้ารมควัน (340 บาท) เนื้อยอคกี้ฟักทองนุ่มๆ หอมๆ มีรสเค็มจากหมูตุ๋นและชีสรีคอตต้าที่เข้ากันละมุน เป็นอีกจานที่กินเพลินดี เช่นเดียวกับ ไข่หมึกกระดอง เห็ด เนยแมคคาเดเมีย (400 บาท) ที่เปลี่ยนใจเราได้ จากที่ไม่อินไข่ปลาหมึกเท่าไหร่กลายเป็นยกช้อนกินไม่หยุด เป็นเพราะรสชาติที่มีความเปรี้ยวนิดๆ จากเห็ด และความหอมครีมมี่ที่ไม่เลี่ยนเกินไปด้วย จานนี้จึงกินได้เรื่อยๆ เช่นกัน
ส่วนของหวานเราได้ลอง ซอร์เบทสตอเบอรี่ วนิลาเขาใหญ่ แมคคาเดเมีย จานนี้จะอยู่ในเซ็ตเมนูเท่านั้น แต่ถ้าใครสั่งแบบอะลาคาร์ตจะได้ชิมเมนูอื่นๆ ที่รับรองไม่ผิดหวังเช่นกัน
Good for
แม้ตอนนี้ Electric Sheep จะยังทำให้ทุกขั้นตอนในร้านมีความยั่งยืนไม่ได้ 100% แต่เราก็มั่นใจว่าที่นี่พูดจริงทำจริงไม่น้อยไปกว่าที่ไหน และความกล้าท้าทายตัวเองของเชฟก็ทำให้เราเชื่อในร้านอาหารนี้ได้ไม่ยาก ที่นี่จึงเป็นร้านที่เราไปแล้วรู้สึกสนุก และเก็บเข้าลิสต์เป็นร้านที่จะต้องกลับไปซ้ำ ซึ่งเราเชื่อว่าถ้าทุกคนได้ลองไปนั่งชิมอาหารด้วยตัวเองก็จะติดใจ Electric Sheep ด้วยเหมือนกัน
Electric Sheep
Open: วันอังคาร-เสาร์ เวลา 18.30-00.00 น.
Contact: @electricsheepbkk
Address: ชั้น 4 ในโครงการ Warehouse ตลาดน้อย (ด้านหลังร้าน The Summer Coffee Company)
Budget: 1,000-3,000 บาท