ถ้าวงการอาหารมีรางวัลอย่างดาวมิชลินหรือตำแหน่งร้านอาหารยอดเยี่ยมระดับโลกเป็นตัวการันตีฝีมือของนักทำอาหาร เราว่าเวทีแข่งขันบาร์เทนเดอร์อย่าง ‘World Class Cocktail Festival (WCCF)’ ก็เรียกได้ว่าเป็นรางวัลใหญ่สำหรับคนในวงการค็อกเทลทั่วโลกเช่นกัน
การแข่งขันนี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อตามหาตัวแทนบาร์เทนเดอร์ในแต่ละประเทศไปรวมตัวแข่งขันทำค็อกเทลบนเวทีสากล ซึ่งผู้ชนะในแต่ละครั้งจะได้รับประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่ไหน รวมถึงได้โชว์ฝีมือและประชันความพร้อมกับตัวแทนจากประเทศอื่นๆ ในฐานะนักสร้างสรรค์เครื่องดื่มด้วย
โดยในปีนี้การแข่งขัน World Class ประจำประเทศไทยก็ได้ผู้ชนะเลิศแล้วเช่นกัน นั่นก็คือ ‘แมค-สหรัฐ แก้วคง’ จากบาร์ค็อกเทล Vesper และเรากำลังจะพาทุกคนไปนั่งคุยกับเขาเพื่อถามถึงความพร้อมและความสนุกในฐานะบาร์เทนเดอร์มืออาชีพ
Q: เล่าถึงจุดเริ่มต้นอาชีพบาร์เทนเดอร์ให้ฟังหน่อย
“ผมเริ่มต้นจากการเป็นบาริสต้า แต่พอได้ลองเป็นผู้ช่วยบาร์เทนเดอร์ (Bar Back) ก็เริ่มรู้สึกสนใจและอยากเป็นบาร์เทนเดอร์ขึ้นมา ช่วงนั้นเลยเริ่มเรียนด้วยตัวเองผ่าน YouTube เริ่มจากเมนูง่ายๆ พวก Old Fashion แล้วเราก็เกิดสงสัยว่าทำไมวิธีทำในบ้านเราถึงไม่เหมือนต่างประเทศ ก็พยายามหาคำตอบให้ตัวเองไปเรื่อยๆ จนรู้ตัวอีกทีก็คลั่งไปแล้ว
“หลังจากนั้นก็พยายามพัฒนาฝีมือ ลองทำให้รุ่นพี่ชิม ผมยังจำแก้วแรกได้เลยว่ามันออกมาหวานมาก”
Q: แล้วยังจำค็อกเทลแก้วแรกที่ทำให้ลูกค้าได้ไหม
“แก้วแรกที่ผมทำคือ Mojito ซึ่งมันเป็นเมนูที่บาร์เทนเดอร์ส่วนใหญ่เริ่มทำเป็นแก้วแรกนะ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่จำได้ว่าแก้วแรกเป็นแก้วที่ตื่นเต้นมาก ไม่ใช่ตื่นเต้นเพราะเราทำผิดหรือทำถูก แต่ตื่นเต้นกับรีแอ็กชันของลูกค้า
“เพราะรีแอ็กชันแรกเมื่อเขาจิบเข้าไปจะบอกได้เลยว่าค็อกเทลแก้วนั้นเป็นอย่างไร เราจะแอบดูว่าถ้าหากเขาไม่หันหน้าหนีก็แปลว่าโอเค”
แมคบอกว่าเขาเริ่มเข้าวงการบาร์เทนเดอร์ตั้งแต่ 6-7 ปีที่แล้ว โดยเริ่มจากบาร์ในโรงแรมก่อนย้ายมาประจำในบาร์ค็อกเทลที่จริงจังมากขึ้น และหากพูดถึงเมนูที่เขาทำบ่อยๆ ในช่วงนั้น แมคบอกว่าไม่หลากหลายเท่าปัจจุบันเลย บางเมนูได้ทำปีละครั้งก็มี
“พอเราได้เจอลูกค้าต่างชาติ เราก็ได้ทำเมนูใหม่ๆ มากขึ้น แต่บางเมนูนานๆ ทีจะได้ทำ ก็ต้องมีเปิดสูตรกันบ้าง ท้ังๆ ที่บางแก้วง่ายมากเลยนะ ก็เลยเริ่มสนุกเวลาได้ทำค็อกเทลใหม่ๆ ที่ไม่เคยเจอ และอยากสร้างค็อกเทลเป็นของตัวเองดูบ้าง”
Q: พอสนใจค็อกเทลจริงจัง แมคเริ่มฝึกฝนอย่างไร
“สำหรับผมการฝึกมันเกิดจากประสบการณ์ที่เราได้ทำ ได้เห็น และได้ชิมจากหลายๆ ที่มากกว่า เริ่มแรกผมเรียนรู้จากรุ่นพี่ในวงการ พวกเขามีความสร้างสรรค์กันมาก เราคิดเสมอว่าพวกเขานำสตอรีมาเป็นแรงบันดาลใจในการทำค็อกเทลได้อย่างไร ทำไมเขาคิดแบบนั้นได้ ก็เลยซึมซับสิ่งเหล่านั้นมาโดยไม่รู้ตัว
“แต่สุดท้ายแล้วถ้าอยากเก่งขึ้นจริงๆ ก็ต้องลงมือทำ พอได้ทำบ่อยๆ เราก็เกิดจินตนาการ ทุกวันนี้ผมก็บอกรุ่นน้องให้ลองทำเลย ผิดถูกไม่สำคัญ ชอบไม่ชอบไม่เป็นไร เพราะสุดท้ายมันคือสกิลของตัวเราเอง”
Q: สำหรับแมคแล้ว ส่วนตัวชอบค็อกเทลแบบไหน
“ผมชอบค็อกเทลรสชาติสดชื่น แต่มีความซับซ้อนหน่อยๆ ชอบสไตล์ซ่าๆ ดื่มได้นาน แต่ไม่แรงจนเกินไป ซึ่งค็อกเทลส่วนใหญ่ที่ผมทำก็จะเป็นสไตล์นี้”
Q: แล้วนักดื่มส่วนใหญ่ที่เจอชอบสไตล์ไหนกัน
“ส่วนมากลูกค้าอยากได้ Experimental Drink พวกเขาอยากลองอะไรที่แปลกใหม่แบบเปิดโลก แต่เราก็ต้องเข้าใจด้วยว่าลูกค้าก็มีทั้งคนที่กล้าลองและพร้อมเข้าใจ กับอีกกลุ่มที่อยากลองแต่อาจไม่เข้าใจเลยก็มี
“ซึ่งพอเราคิดแบบนี้ ผมว่าค็อกเทลก็ไม่มีคำว่าอร่อยหรือไม่อร่อยหรอก รสชาติเป็นเรื่องของเทสแต่ละคน ต่อให้เสิร์ฟค็อกเทลที่อร่อยที่สุดในโลก ผมก็เชื่อว่าให้คนชิม 100 คนก็ไม่มีทางที่ทุกคนจะบอกว่าอร่อยทั้งหมด”
Q: ถ้าเทียบกับยุคก่อนที่เริ่มทำค็อกเทลล่ะ เทรนด์การดื่มเปลี่ยนไปแค่ไหน
“ผมว่ารสนิยมของคนเปลี่ยนไปเยอะมาก ตอนนี้ผมว่ากลายเป็นโลกใหม่ของค็อกเทลไปแล้ว กลายเป็นศิลปะการดื่ม กลายเป็นไลฟ์สไตล์ เหมือนการออกไปกินอาหารไฟน์ไดนิ่งเพื่อหาประสบการณ์ เครื่องดื่มก็เหมือนกัน”
Q: ถ้าอย่างนั้นในฐานะบาร์เทนเดอร์คิดว่า ‘Cocktail Culture’ คืออะไร
“ผมว่ามันคือไลฟ์สไตล์และความชอบ เพราะบางคนที่ไม่ชอบก็มี ซึ่งการที่เขาชอบการสังสรรค์อีกรูปแบบก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่สำหรับคนที่ชอบก็อาจสนุกกับการได้เปิดโลกค็อกเทล เพราะทุกวันนี้มันไม่ได้มีแต่เครื่องดื่มคลาสสิกเดิมๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว รวมถึงเทคนิคการนำเสนอด้วย”
Q: มาพูดถึงการเตรียมตัวไปแข่งบ้างดีกว่า ตอนนี้กำลังเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
“ทุกครั้งเวลาได้โจทย์แข่งขันมา ผมกับทีมจะพยายามตีโจทย์ให้แตกว่ากรรมการต้องการอะไร ต่อไปก็คิดว่าเราอยากนำเสนอแบบไหน แล้วค่อยเริ่มทำค็อกเทลให้เชื่อมโยงกับเรื่องราวที่เราอยากเล่า
“สุดท้ายพอทุกอย่างพร้อมก็เหลือแค่การซ้อม การเตรียมสคริปต์ ซึ่งสองสิ่งนี้สำคัญมาก เนื่องจากทุกการแข่งจะมีการจับเวลา เราเลยต้องเขียนและซ้อมหนักๆ เพื่อให้ตัวเองมีความมั่นใจ เพราะรุ่นพี่เคยสอนมาว่าถ้าอยากชนะคนอื่นที่ซ้อมมา 100 ครั้ง เราจะซ้อมเท่าเขาไม่ได้”
Q: แสดงว่าการซ้อมสำคัญมาก
“มันทำให้เรามีความมั่นใจ ต่อให้เวลาแข่งจริงเราจะลืมก็ช่วยให้ไม่ออกนอกกรอบ การซ้อมเยอะทำให้มีสติตลอดเวลา ผมเคยลืมเหมือนกัน รู้ตัวตอนชิมว่าใส่ไม่ครบ แต่เราก็แก้ปัญหาได้เพราะซ้อมมาเยอะนี่แหละ”
หลังจากการแข่งระดับประเทศเสร็จสิ้น แมค สหรัฐ ในวัย 25 ปี ก็กำลังเตรียมตัวไปแข่งขันระดับโลกต่อ เราเลยอยากรู้ว่าเขายังมีอะไรที่อยากพัฒนาอีกบ้าง
แมคเลยบอกว่าโจทย์ที่ได้มาจากเวทีใหญ่หินกว่าระดับประเทศเยอะ ซึ่งมันทำให้เขารู้ว่าตัวเองต้องพัฒนาอีกมาก เนื่องจากกรรมการจะไม่ตัดสินแค่ค็อกเทลรสชาติดีหรือการนำเสนออย่างที่ผ่านมาแล้ว
“โจทย์ระดับ Global เขาต้องการเห็นการต่อยอดที่ไปได้ไกลมากๆ ระดับทั่วโลก เช่น การร่วมงานกับชุมชนท้องถิ่น อย่างล่าสุดผมต้องทำงานร่วมกับผู้ผลิตเกลือ ก็เพิ่งได้รู้เหมือนกันว่าเกลือมันน่าสนใจมากขนาดนี้ แต่พวกเขากลับไม่ค่อยได้รับการสนับสนุน จนตอนนี้อาชีพนาเกลือหายไปเยอะแล้ว แต่คนที่ยังทำอยู่เป็นเพราะ Passion ผมประทับใจพวกเขามาก”
นอกจากนี้แมคยังเล่าถึง Boot Camp ที่จัดโดยทีมดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) ด้วย เป็นเหมือนค่ายเตรียมความพร้อมให้เขาก่อนไปแข่งขันเวทีโลก โดยเปิดให้บาร์เทนเดอร์ในรอบไฟนอลทุกคนเข้าร่วม และมีแชมป์เก่ามาช่วยฝึกซ้อมด้วย รวมถึงค่ายนี้ยังเป็นการฝึกบาร์เทนเดอร์รุ่นใหม่ไปในตัวอีก
ปิดท้ายด้วยคำพูดของแชมป์ World Class ประเทศไทย ปี 2022 ที่กำลังจะไปแข่งบนเวที World Class Global Final ณ ซิดนีย์ ออสเตรเลีย ในวันที่ 12-19 กันยายนนี้ โดยแมคอยากฝากถึงคนที่เริ่มสนใจอาชีพบาร์เทนเดอร์และอยากเข้าวงการไว้ว่า
“ถ้าใครสนใจสายอาชีพนี้มากจริงๆ คุณสามารถเริ่มด้วยตัวเองได้เลย เพราะผมว่าบาร์เทนเดอร์เป็นอีกอาชีพสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในประเทศได้เลยนะ เครื่องดื่มกับอาหารเป็นของคู่กันอยู่แล้ว ผมอยากให้นักท่องเที่ยวรู้ว่าประเทศไทยไม่ได้มีแค่สตรีทฟู้ด บาร์ค็อกเทลดีๆ ที่ได้รางวัลก็มีอยู่เยอะเหมือนกัน”
- ทุกคนสามารถตามไปให้กำลังใจและติดตามการแข่งขัน World Class ได้ที่ www.facebook.com/WorldclassThailand/