หากคุณเป็นคนที่ชอบเสพสื่อความงามหรือติดตามเหล่าบิวตี้อินฟลูเอ็นเซอร์ในประเทศไทยเป็นทุนเดิม เราเชื่อว่าสาวสวยหน้าคมเก๋อย่าง Valentine หรือ ไทน์-กรกนก วรรณกิจ จะต้องติดท็อปลิสต์บิวตี้อินฟลูเอ็นเซอร์ที่คุณตามแน่นอน ด้วยบุคลิกและสไตล์การนำเสนอคอนเทนต์ที่มีเอกลักษณ์ ตรงไปตรงมา และเข้าใจง่าย
View this post on Instagram
นอกจากแพสชันในเรื่องความงามแล้ว ไทน์ยังเป็นผู้หญิงที่รักในการแต่งตัว ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เธอขาดไม่ได้ราวกับอวัยวะชิ้นที่ 33 ไปแล้วก็คือ ‘เครื่องประดับ’ ทว่าเครื่องประดับที่สวยและราคาเข้าถึงง่ายบางครั้งก็อาจแลกมาด้วยอายุขัยที่สั้น ใส่ไม่ทันไรก็ต้องตัดใจทิ้ง นั่นเลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธออยากทำแบรนด์ของตัวเองเพื่อสนองความหลงใหลคลั่งไคล้ในเครื่องประดับ และต้องตอบโจทย์เรื่องความทนทาน ใส่ได้นานโดยไม่ลอก ไม่ดำ ราคาน่ารักเข้าถึงง่าย และนั่นจึงเป็นจุดกำเนิดของ ‘Valichain’ แบรนด์เครื่องประดับกระแสแรงที่ถูกจับจองอย่างรวดเร็ว และหมดสต็อกในทุกครั้งที่เปิดตัวคอลเล็กชันใหม่จวบจนทุกวันนี้
ทว่าการเดินทางของ CEO มือใหม่คนนี้ไม่ได้สวยหรู เพียบพร้อม หรือมีแผนธุรกิจใดๆ ตั้งแต่ต้น เธอลงมือสร้างทุกอย่างจากศูนย์โดยมีเพียงแพสชันเป็นเข็มทิศนำทาง อุปสรรคระหว่างทางเป็นอย่างไร การปั้นธุรกิจในแบบที่ไม่ต้องรอวันพร้อมแลกมาด้วยบทเรียนและความท้าทายรูปแบบใดบ้าง มาร่วมค้นหาคำตอบพร้อมรับแรงบันดาลใจดีๆ ไปด้วยกันได้ใน Passion Calling x Valentine
ปัจจุบันไทน์ทำอะไรอยู่บ้าง
ตอนนี้เป็น Beauty Influencer และเป็นเจ้าของแบรนด์จิวเวลรี ชื่อว่า Valichain คือตั้งแต่เรียนปี 2 ก็ทำด้านบิวตี้มาตลอดเลย สมัยก่อนก็จะเป็นเพจ Jeban, Pantip เรารีวิวมาตลอดตั้งแต่ช่วงเรียน มีช่วงหนึ่งเรียนจบไปทำสตาร์ทอัพ Beauty Influencer แบบเต็มตัว ตอนนี้ก็น่าจะ 10 ปีแล้ว แล้วเมื่อต้นปี 2020 ก็เริ่มทำแบรนด์จิวเวลรี ชื่อว่า Valichain
อะไรที่จุดประกายให้เราทำแบรนด์จิวเวลรีของตัวเอง
หนูว่ามันเริ่มจากความชอบ จริงๆ แล้วสังเกตตัวเองว่าทุกครั้งเวลาที่เราจะแต่งตัวออกไปไหน สิ่งที่ขาดไม่ได้คือจิวเวลรี คือหนูจะต้องประโคมตัวเอง จะใส่เสื้อเชิ้ต ครอปท็อปธรรมดาทั่วไปก็ตามแต่ แต่รู้สึกว่าพอมีจิวเวลรีเข้าไปมันทำให้ Overall Look ของเราดูคอมพลีต เลยชอบจิวเวลรีมากๆ มันเริ่มจากความชอบเลย
พอเราชอบเราก็ซื้อเยอะมาก ซื้อหลายแบรนด์มาก แต่ทีนี้พอเราใส่หลายๆ แบรนด์แล้ว เราค้นพบปัญหาหนึ่งก็คือ มันไม่มีแบรนด์ไหนที่เราซื้อมาในราคาที่น่ารัก จับต้องได้แล้วทนเลย ใส่ไปสักพักแล้วมันก็จะดำ หรือไม่ก็เขียวติดผิว ซึ่งหนูว่ามันเป็นปัญหาที่เราเจอกับจิวเวลรีที่ราคาไม่ได้สูงมาก หรือแม้กระทั่งบางแบรนด์ราคาสูงมากก็ยังลอก ยังดำอยู่
ทีนี้หนูก็เลยแบบ…มันต้องมีวัสดุอะไรสักอย่างที่ใส่ไปแล้วไม่ลอก ไม่ดำ และอยู่กับเราได้นานๆ เวลาที่เราเสียเงินกับอะไรสักอย่าง เราก็อยากให้มันอยู่กับเรานานๆ นี่ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการที่อยากจะทำจิวเวลรีแบรนด์เป็นของตัวเอง
ส่วนชื่อ Valichain จริงๆ แล้วมันง่ายมากๆ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย Vali ก็มาจากวาเลนไทน์ ชื่อหนูเอง ส่วน Chain ก็สร้อย แล้วก็ต้องพยายามหาชื่อที่มันไม่มีในโลก Valichain มันไม่มีในโลกจริงๆ
สิ่งแรกที่ไทน์ลงมือทำในวันแรกของการสร้าง Valichain คืออะไร
ถ้าย้อนกลับไปสิ่งแรกเลยก็คือการหาโรงงานก่อน เพราะรู้ว่าเราอยากจะให้วัสดุของแบรนด์เรามันดีที่สุด มันต้องอยู่ได้นานๆ มันต้องใส่ได้นานๆ หนูก็ทำรีเสิร์ชก่อนเลยว่ามันมีวัสดุประเภทไหนที่จะไม่ลอก ไม่ดำ เราเสียเงินไปแล้วมันต้องอยู่กับเรา แล้วเราก็ไปเจอโรงงานที่ทำได้ มีวัสดุที่เราต้องการ ก็เลยเริ่มจากการพัฒนาสินค้ากันก่อนเลย ซึ่งมันค่อนข้างใช้เวลานานมาก ใครที่อยากจะสร้างแบรนด์ รู้ดีอยู่แล้วว่าการดีลกับโรงงานเป็นเรื่องที่ยากที่สุด กว่าหนูจะเฟ้นหาโรงงานที่ใช่ที่ผลิตได้ในราคาที่ดีจริงๆ ก็ค่อนข้างยาก
จนมาเจอกับโรงงานที่โอเคกับเรา รู้สึกว่าลงล็อกแล้ว ก็เลยเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการผลิต ทีนี้ผลิตตัวอย่างออกมาหนูก็ลองใส่ก่อน แต่ทีนี้มันไม่ใช่แค่หนูคนเดียว เพราะเราต้องการขายให้คนหลายคน เราไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกแบบเดียวกับเราไหม พอเราได้ตัวอย่างมาแล้วก็เริ่มส่งให้เพื่อน ให้พี่น้อง ให้คนรอบข้างใส่ รวมทั้งพี่ๆ อินฟลูเอ็นเซอร์ที่เรารู้จักด้วย แล้วก็ส่งให้เพื่อนที่แพ้ง่ายมากๆ คือแพ้จิวเวลรีหนักมาก ไม่ว่าจะใส่อะไรก็รู้สึกลอก รู้สึกระคายเคือง คือของเราต้องไม่ใช่แค่ใส่แล้วไม่ลอก แต่มันต้องไม่แพ้ด้วย
กระบวนการทดลองมันประมาณ 3-4 เดือนกว่า ก่อนที่เราจะมั่นใจได้ 100% แล้วที่ส่งไปให้คนรอบตัวทุกคนคือไม่มีปัญหาเลย ทุกคนใส่ติดตัวจริงๆ ใส่นอนกันจริงๆ ใส่อาบน้ำ ฉีดน้ำหอมกันเต็มที่เลย สรุปว่ารอด ช่วงเวลาที่เป็นการทดลอง การพัฒนาตัวสินค้า รวมถึงการทำแบรนดิ้งอะไรต่างๆ ด้วยก็ประมาณ 1 ปี ก่อนที่จะ Launch แบรนด์กันจริงๆ ในวันที่ 9 กันยายน 2021
Embed https://www.instagram.com/vvalentines/
คือเรียกได้ว่าเราไม่มีแผนธุรกิจ
ไม่มีเลย คือจริงๆ แล้วตอนที่เริ่มมันเป็นช่วงโควิดพอดี แล้วคือหนูก็รู้ว่าอยากจะทำ Valichain ให้มันเป็น Side Job งานเราตรงนี้ก็คือฟรีแลนซ์ ซึ่งมันก็มีความไม่มั่นคงในตัวอยู่แล้ว เลยอยากเริ่มลองอะไรใหม่ๆ ก็เลยลองพยายามเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง แต่ด้วยความที่เราเคยผิดหวังกับสิ่งอื่นๆ สิ่งเก่าๆ มา ก็เลยไม่ได้คิดว่าสิ่งนี้จะเป็นธุรกิจจริงจังขนาดนั้นช่วงแรกเริ่ม แต่ก็พยายามเอาใจใส่ในทุกอย่าง
คือรู้อย่างหนึ่งว่า…การทำธุรกิจมันไม่ใช่ว่าเราจะหวังรวย ถ้าเราคิดแต่ว่าเราจะรวย แต่โปรดักต์เรามันไม่ได้ดีขนาดนั้น มันก็จะเป็นการยากสำหรับหนูนะ คิดแค่นั้นเลยตอนเริ่ม พยายามใส่ใจกับคุณภาพของโปรดักต์ให้ได้มากที่สุด
ชีวิตในหนึ่งปีนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
ถ้าเกิดมองกลับไปนะ ช่วงที่หาโรงงานคือปวดหัวมาก เพราะว่าเฟลมาหลายโรงงานมาก ก็จะมีโรงงานที่ถ้าอยากผลิตต้องใช้เวลา 6 เดือน คือกว่าที่จะเจอนี่ยาก เรื่องโรงงานก็อีกเรื่องหนึ่ง พอเจอโรงงานผลิตแล้วก็การลองอีก การเลือกดีไซน์อีกว่าเราจะ Launch ดีไซน์ออกมา ดีไซน์แรกมันจะต้องเป็นอย่างไร เพราะเราจะต้องดูว่าความ Everyday Look ลูกค้าเราจะชอบใส่แบบไหน ถ้าเราขายเขาจะต้องซื้อและได้ใส่จริงๆ
View this post on Instagram
และใน 1 ปีนั้นจะมีช่วง 6 เดือนหลัง ก็จะเป็นการทำแบรนดิ้ง ซึ่งก็เป็นอีก 1 ท็อปปิกที่อยากจะเล่าให้ฟังเหมือนกัน เพราะหลายๆ คนที่ได้ Valichain ไปหรือว่าสนใจ Valichain ก็เพราะแบรนดิ้งด้วย คือหนูรู้สึกว่าความเป็นจิวเวลรีมันไม่จำเป็นต้องดูลักชัวรีเสมอไป หนูอยากได้ความสนุกในแบรนด์ของหนู ด้วยความที่ Valichain ไม่ใช่แบรนด์ที่แพงเป็นหมื่น มันเป็นราคาที่อยู่ในหลัก 100-1,000 กลางๆ เพราะฉะนั้นเราอยากได้แบรนดิ้งที่มีความเข้าถึงง่าย มีความจับต้องง่าย หนูก็เลยนึกถึงสีสันขึ้นมา ถ้าเกิดใครที่เห็นแพ็กเกจจิ้ง เห็น CI ความเป็น Valichain จะเห็นถึงความชิค มีความคัลเลอร์ฟูล แต่ว่าหนูก็ยังอยากได้ความ Sophisticated ในแบรนด์ไว้ในภาพของสาว Valichain
View this post on Instagram
ความรู้สึกวันแรกที่ขายได้เป็นอย่างไร
คือหนูจำได้เลยว่าช่วงทีเซอร์ คือหนู Launch วันที่ 9 ก็เริ่มปล่อยประมาณวันที่ 30 หรือ 1 หนูจำไม่ได้ คือเริ่มก่อนประมาณ 7 วัน ปล่อยไปวันแรกมันก็พีคมาก คือตั้งแต่ที่ส่งให้เพื่อนอินฟลูเอ็นเซอร์ลอง เขาใส่ปุ๊บก็จะโดนถามว่ามันเป็นแบรนด์อะไร ทุกคนก็ช่วยเชียร์ มันก็เหมือนทำให้มีกระแสอยู่แล้ว พอเราเปิดตัวไปว่าเรากำลังมีจิวเวลรีนะ ทุกคนก็เลยรู้ว่ามันคือ Valichain นั่นเอง แล้วก็กลายเป็นว่าทุกคนรอ กระแสฮือแตกมากตอนนั้น แล้วหนูก็คุยกับแฟนว่า เอ๊ะ หรือว่าเราจะสั่งจิวเวลรีเพิ่มเลยไหม เพราะกระแสมันดีมาก แต่แฟนก็ช็อตฟีลมาก บอกว่าเธอขายที่มีอยู่ให้หมดก่อน เขาเชื่อว่าของที่มีอยู่มันน่าจะอีกเดือน มันน่าจะไม่หมด พอถึงวันวางขายจริงๆ คือคนทักเข้ามาประมาณ 600-700 คน
View this post on Instagram
ตอนนั้นมีแอดมินคนเดียวคือหนู ก็เลยต้องโทรหาน้องสาวให้มาช่วย มันก็งงๆ คือหนูไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาเป็นแม่ค้า และเราก็ไม่ได้เตรียมใจว่าเราต้องรับมือกับมันอย่างไร ก็กลายเป็นว่าขายหมดเลยภายในวันเดียว
มีคอลเล็กชันไหนที่ภูมิใจมากเป็นพิเศษไหม
น่าจะเป็น Valentine Collection ด้วยความที่ตัวเองเกิดวันวาเลนไทน์ด้วยก็เลยอยากจะทำคอลเล็กชันวาเลนไทน์ให้พิเศษที่สุด เพราะฉะนั้นดีไซน์ของวาเลนไทน์ก็จะเกี่ยวกับความรัก เป็นคอลเล็กชันที่หนูจะเป็นแบบ เมื่อก่อนก็จะเป็นแบบเองทุกคอลเล็กชัน แต่พักหลังรู้สึกว่าอยากได้ความหลากหลายในแบรนด์ด้วย เป็นคอลเล็กชันที่เราภูมิใจมากที่สุด เหมือนเราเข้าไปอยู่ในทุกกระบวนการจริงๆ ไม่ใช่แค่เบื้องหลังอย่างเดียว แต่เป็นเบื้องหน้าไปด้วย
View this post on Instagram
ตอนนี้หนูมองว่า Valichain มันไม่ใช่แค่หนูแล้ว มันเป็นจิวเวลรีสำหรับทุกคน และอยากให้นางแบบที่เลือกมาต้อง Represent หลายๆ คนด้วย อย่าง Pride Collection ก็มีการใช้นายแบบ นางแบบที่หลากหลาย เพื่อนำเสนอความหลากหลายทางด้านสีผิว รูปร่าง คือพยายามทำให้ Valichain เป็นของทุกคนได้จริงๆ ใส่ได้ทุกคน
View this post on Instagram
อุปสรรคระหว่างทางเป็นอย่างไรบ้าง
จริงๆ ช่วงแรกๆ ที่เปิดแบรนด์ หนูรู้สึกว่ามันก็เป็นแม่ค้ามือใหม่ หนูไม่เคยขายของ ไม่เคยขายอะไรมาก่อนเลยที่เป็นจริงเป็นจัง เราไม่รู้จักระบบหลังบ้าน เราไม่รู้สินค้ามีระบบอย่างไร Outbound / Inbound คืออะไร แล้วเราจะทำอย่างไรกับสต็อก ไม่รู้เลย
นอกจากระบบหลังบ้านแล้วก็ยังต้องมาเรียนรู้ระบบอีคอมเมิร์ซออนไลน์ต่างๆ ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มเขาก็มีระบบหลังบ้านที่แตกต่างกันไป ทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่หมดเลยสำหรับหนู สำหรับคนที่ไม่เคยขายของมาก่อน ช่วงนั้นก็ค่อนข้างยาก แล้วพอเป็นแบรนด์ใหม่จะเข้าไปคุยกับระบบซัพพอร์ต ก็เหมือนเขาไม่ได้ไว้ใจว่าเราจะขายของได้ขนาดนั้น
View this post on Instagram
เห็นว่าทำหน้าร้านด้วย
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรค เพราะว่ามันก็เหมือนออนไลน์เลย พอจะเริ่มทำมันก็มีอุปสรรคที่ต้องเจอ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่หน้าร้าน การดีลกับกฎของห้าง ทำดีไซน์อะไรให้มันเข้ากับกฎของห้างได้ และทำให้มันเฟรนด์ลีกับลูกค้าที่มา
ต้องเรียนรู้การเทรนพนักงานขายด้วยว่าจะทำอย่างไรให้เขาเข้าถึงลูกค้าได้โดยที่ลูกค้าไม่รู้สึกรำคาญ ไม่ฮาร์ดเซลมากเกินไป อย่างของหนูจะบอกเด็กๆ หน้าร้านเลยว่าเราจะไม่ฮาร์ดเซล เพราะว่าเวลาที่เราไปซื้อของ เราก็ไม่ชอบเวลาที่พนักงานมายืนจ้องเรา หรือบอกว่าอันนี้นะคะ อยากได้อันนี้ไหม ก็จะทำให้เรารู้สึกอึดอัด หนูก็เลยกำชับกับน้องๆ ไว้เลยว่าเราไม่ฮาร์ดเซลแบบนั้น
ลูกค้าจะซื้อหรือไม่ซื้อไม่เป็นไร คือเรามีหน้าที่แค่แนะนำลูกค้าเท่านั้น
View this post on Instagram
มีโมเมนต์ไหนไหมที่อยากเลิกทำแล้ว
มันไม่ใช่โมเมนต์แบบว่าเลิกไปเลย แต่เป็นโมเมนต์ที่เบิร์นเอาต์ คือมันก็มีทุกๆ 2-3 เดือนอยู่แล้ว ด้วยความที่ Valichain ขยันมากในเรื่องของการออกคอลเล็กชันใหม่ อันนี้มันก็มีที่มาที่ไป ด้วยความที่เราเป็นแบรนด์แฟชั่นด้วย ทุกเดือนเราต้องมีอะไรออกมาให้ลูกค้ารู้สึกว่าฉันต้องมี ต้องโดนนะ เป็นสีสันให้แบรนด์ และด้วยความที่มันออกมาทุกเดือนเราก็มีช่วงที่ไม่ไหวเหมือนกัน
แต่ถ้าถามว่าทำอย่างไรให้รู้สึกดีขึ้น หนูก็ไม่พยายามหยุดอยู่กับความรู้สึกของการเหนื่อย เช่น ถ้าหนูพูดว่าเหนื่อยหรือยมบ่อยๆ หนูจะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ก็เลยพยายามจะหลีกเลี่ยงการใช้คำพูดว่าเหนื่อยหรือยม แต่สุดท้ายก็พูดอยู่ดีนะ ถ้ามันเหนื่อยมากจริงๆ
หนูสังเกตว่าถ้าหนูพูดว่าเหนื่อยนิดหนึ่งหรือว่ายม มันจะยมจริงๆ แล้วเราก็จะคิดว่าเราเหนื่อยจริงๆ หนูก็เลยพยายามที่จะตัดคำพูดนี้ออกไป ด้วยความที่หนูไม่ได้ทำอย่างเดียว หนูมี vvalentines ด้วย ทุกวันก็คือตื่นมาแล้วเราต้องอัปเดตอะไรบางอย่างลงโซเชียล มันก็เลยเหมือนเป็นความเหนื่อยซ้ำไปซ้ำมา
พักหลังก็จะมีวันที่ไม่อยากทำอะไรเลย มันเหมือนเป็นสิ่งที่คนที่ทำงานกับโซเชียลมีเดียต้องมีอยู่แล้ว ก็คือวันที่เราต้องเบรกไป
อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้เรายังคงทำต่อไปถึงแม้ว่าจะเบิร์นเอาต์
Valichain มันก็ไปเรื่อยๆ ของมันแล้ว พอเรากลับไปดูมันเป็นอะไรที่โตมากๆ โตไวแล้วด้วย ถ้าเราเหนื่อยเมื่อไร เราหันกลับไปดูสิ่งที่เราทำ มันก็เป็นความภูมิใจและมันเป็นสิ่งที่ทำให้หนูหยุดไม่ได้อยู่แล้ว คิดแค่นี้เลย ถ้าเหนื่อยก็กลับไปดูแบรนด์ตัวเอง
หนูพยายามจับ Simple Thing แล้วก็ทำให้เรารู้สึกกับเรื่องแฮปปี้เล็กๆ น้อยๆ ดีกว่าที่ฉันจะต้องไม่มีความสุขถ้าฉันไม่ได้ไปพักผ่อน ถ้าอย่างนั้นมันจะไม่มีความสุขเลย คือหนูว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไรถ้ารู้สึกว่าวันนี้ฉันจะเหนื่อยให้สุด จมอยู่กับความเหนื่อยจนกว่าที่ฉันจะได้ไปพักจริงๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไรจะได้พัก เราก็เลยทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้มีความสุข เช่น อยู่กับหมาก็แฮปปี้แล้ว
View this post on Instagram
อยากให้ลูกค้าได้อะไรกลับไป
อยากให้ลูกค้าซื้อ Valichain กลับไปแล้วรู้สึกว่าเขาสามารถนำ Valichain ไปใส่แล้วอยู่ในทุกโมเมนต์ของชีวิตเขาได้ อยากให้อยู่ในทุกโมเมนต์ของลูกค้าไปนานๆ
คิดอย่างไรกับการที่มีอาชีพที่สองในสมัยนี้
คือจริงๆ แล้วหนูเริ่มจากที่ตัวเองเป็นฟรีแลนซ์ พอมันเป็นฟรีแลนซ์มาแล้ว 10 ปี เราก็รู้สึกว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างที่เป็น Passive Income ซึ่งถ้าถามว่ามันสำคัญมากน้อยแค่ไหนสำหรับคนที่อยากมีหลายๆ อาชีพ หนูว่าแล้วแต่เลย ถ้าเรารู้สึกว่าเราอยากลองก็ทำเลยจริงๆ หนูไม่มีความคิดเห็นมากนะในเรื่องที่ทำอันนี้แล้วอยากทำอันอื่นด้วย
มีเพื่อนหลายคนเลยเห็นหนูทำ Valichain แล้วรู้สึกว่าอยากทำธุรกิจนี้บ้าง แต่ว่าก็ยังกลัวอยู่ คิดเยอะ ส่วนมากแล้วหนูจะเจอคนที่คิดเยอะมากๆ กว่าจะเริ่มทำอะไรสักอย่าง หนูอยากจะบอกว่า คิดแล้วก็ทำเลย ถ้าได้แต่คิดอย่างไรมันก็ไม่เกิดอะไรขึ้น การที่ทำเลย ไม่ต้องกลัวว่ามันจะล้มเหลวหรือสำเร็จ สำเร็จเป็นเรื่องดี แต่การล้มเหลวก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน เพราะสุดท้ายเราจะเรียนรู้จากความล้มเหลวนั้นมากกว่าตอนที่สำเร็จด้วยซ้ำ ยิ่งช่วงที่ล้มเหลวจะได้รู้ว่าเราจะไม่ทำสิ่งนี้อีก คือมันเป็นบทเรียน
สิ่งที่ได้เรียนรู้จาก Valichain
เรียนรู้ว่าปัญหามีมาทุกวันก็ต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไข แล้วก็ Go on with it. Go with the flow. เพราะมันมีปัญหาทุกเดือนจริงๆ แต่ละวัน เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องพยายามไม่ยึดติดกับอะไรแล้วก็แก้ปัญหาในทุกๆ วัน
ถ้าเปรียบเทียบกับวาเลนไทน์ 2 ปีก่อน กับวาเลนไทน์ตอนนี้ไม่เหมือนกันเลย 2 ปีก่อนคือเฮ้วมาก ไปไหนไปกัน พักหลังนี้ก็จะมีความอินโทรเวิร์ตขึ้น แล้วก็ให้เวลากับตัวเองมากขึ้น
Valichain by Valentine
แบรนด์จิวเวลรีกันน้ำ 100%
Facebook:
Instagram: