TASTE: KAVEE พาชิมคอร์สเมนูใหม่ที่เต็มไปด้วยความ ‘Wild’ ในสไตล์ของ เชฟเต้-วรธน อุดมชโลทร

นี่คือการกลับมาชิมฝีมือ เชฟเต้-วรธน อุดมชโลทร แห่งร้านอาหารไทยไฟน์ไดนิ่ง KAVEE (กวี) เป็นครั้งที่ 2 ของเรา และหากใครถามว่าคอร์สเมนูใหม่ซีซันนี้ต่างจากครั้งแรกที่เราเพิ่งได้รู้จักเขาอย่างไร เราจะตอบว่า “คอร์สเมนูแรกของเชฟเต้ให้ความรู้สึกเหมือนคนไทยที่ชอบกินอาหารยุโรป แต่สำหรับตอนนี้เหมือนคนไทยที่อยากให้คนยุโรปมาลิ้มลองอาหารไทย”

และสำหรับใครที่ยังไม่เคยรู้จักเชฟเต้มาก่อน เขาคือหนึ่งในทีมเบื้องหลัง Le Du ยุคแรกๆ ก่อนเชฟจะตัดสินใจบินไปเก็บประสบการณ์ต่อที่อเมริกา จนกลับมาเปิดร้านของตัวเอง ซึ่งก็คือ KAVEE ในซอยสุขุมวิท 38 แห่งนี้

เมนูทุกคอร์สยังคงมีแรงบันดาลใจมาจากสิ่งที่เชฟเต้ชอบเหมือนเดิม อาจเป็นรสชาติ เนื้อสัมผัส เรื่องราว หรือเมนูโปรดในวัยเด็กที่ทุกคนต่างคุ้นเคย บอกเล่าผ่านเมนูกลิ่นอายไทยๆ ที่ใช้เทคนิคหลากหลายและนำเสนอได้น่าสนุก

โดยครั้งนี้เชฟเต้รังสรรค์เมนูออกมาทั้งหมด 8 คอร์ส น่าสนใจตรงเน้นใช้วัตถุดิบที่มีความ ‘Wild’ คือ เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม แต่กลับเป็นวัตถุดิบยอดนิยมในท้องถิ่น เชฟเลยอยากนำมาทำใหม่ให้ทุกคนเห็นว่า แท้จริงแล้ววัตถุดิบเหล่านี้มีค่าและดูน่ากินได้มากแค่ไหน

เริ่มตั้งแต่ Trout Roe ที่ด้านนอกเป็นแป้งกรอบสอดไส้ครีมกะทิ ท็อปด้วยไข่ปลาเทราต์ เจลสับปะรดยูซุ และฟิงเกอร์ไลม์ ตกแต่งด้วยดอกไม้กินได้จากบ้านของเชฟในจังหวัดกาฬสินธุ์

หลังจากนั้นเป็นเมนู Tiger Prawn ที่แค่เห็นก็น้ำลายสอ เพราะเชฟเสิร์ฟกุ้งลายเสือดองมาพร้อมซอสเปรี้ยวหวานคู่กับพริก กระเทียม และเจลลี่ ก่อนกินให้บีบมะกรูดเพิ่มความสดชื่นเข้าไปอีกขั้น

ตามด้วยของกินเล่นอีกหนึ่งคำ Apple Snail ที่ใช้หอยโข่งมาตุ๋นกับผักโขม ทำให้เป็นเมนูเพสทรีที่มีเนื้อสัมผัสหนึบๆ น่าสนใจไปอีกแบบ เข้ากับคอร์สต่อไป Sun-Dried Scallop เป็นซุปที่ทำให้เรานึกถึงเมนูโปรดวัยเด็ก เพราะด้านล่างเป็นพุดดิ้งข้าวโพดและไข่แดงรมควัน พนักงานจะเทซุปสแกลล็อปร้อนๆ แล้วหยดน้ำมันงาขี้ม่อนลงไปให้เราก่อนกิน ชิมแล้วจึงเหมือนซุปข้าวโพดหวานๆ หอมๆ ที่ใครก็ต้องชอบ

Wild Caught Frog เป็นเมนูที่เราชอบมากที่สุดในรอบนี้เลย ทั้งด้านการนำเสนอและรสชาติ เพราะเชฟเต้ใช้กบจากจังหวัดนครนายกนำมาทอดให้ยังคงมีเนื้อสัมผัสที่ดีของกบ (ซึ่งไม่ต่างจากไก่เลย) เสิร์ฟพร้อมอะโวคาโด ผักแพว วอเตอร์เครสแบบย่างและสด เป็นจานที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบจากท้องทุ่งอย่างที่เชฟตั้งใจ

ต่อด้วยเมนูนกพิราบ Ang Thong Pigeon จากจังหวัดอ่างทอง เชฟนำมาเอจ 3-4 วัน แล้วนำมาเสิร์ฟพร้อมซอสกระเทียมดำที่เคี่ยวผสมกระดูกนก อินฟิวส์น้ำเชื่อมมะกรูด ข้างเคียงเป็นผักย่าง กระเทียมโทนจากศรีสะเกษที่นำมาดองเอง และปาเต้ (ตับบด)

เมนคอร์สสุดท้ายเป็น Full-Blood Wagyu ที่ใช้เนื้อวากิวออสเตรเลียส่วนกลางของสันใน ทำให้มีทั้งความนุ่มและไขมันแทรกกำลังดี กินคู่กับเห็ดตับเต่าเพียวเร ถังเช่า ออนเนียนริง และใบพริกไทย ช่วยเสริมให้เนื้อมีรสชาติขึ้นไปอีก

สำหรับใครที่คิดถึงเมนูเป็ดเขาใหญ่ดรายเอจที่เป็นซิกเนเจอร์ของ KAVEE ในคอร์สนี้จะไม่รวมอยู่ด้วย แต่สามารถสั่งเพิ่มได้ในราคา 670++ บาท

หลังจากนั้นเข้าสู่เมนูขนมหวาน Lychee เชฟเตรียมเรียกความสดชื่นให้ทุกคนเต็มที่ด้วยไอศกรีมชิโสะหมักเอง มาพร้อมเยลลี่แชมเปญ ผลไม้ ลิ้นจี่สโนว์ และเมอแรงก์กระเจี๊ยบ รับรองว่าเปรี้ยวฉ่ำ สดชื่น พร้อมชิมเมนูต่อไปที่เป็นอีกไฮไลต์

E-San Winged Ant หรือไอศกรีมมดแม่เป้ง เชฟเต้บอกว่าเขานำแม่เป้งหรือไข่มดราชินีมาบดเป็นผง ซึ่งรสชาติจะมีกลิ่นมอลต์เป็นเอกลักษณ์ จึงเข้ากับเนยถั่ว คาราเมล และถั่วลิสง ที่อยู่ด้านล่าง ส่วนด้านบนเป็นคาเคานิบส์ที่ทำเป็นแผ่นกรอบๆ เวลากินให้เคาะจนแตกแล้วกินทุกองค์ประกอบพร้อมๆ กัน

อ้อ! แล้วเชฟก็เอาแม่เป้งที่เขาใช้มาให้ดูด้วย เชฟบอกว่าให้กินไอศกรีมก่อนแล้วลองหยิบแม่เป้งกินตามดู จะเข้ากันดีเลย

ปิดท้ายด้วย Petit Four ที่เชฟทำมา 3 เมนู คือ ช็อกโกแลตบงบงในรังนก ด้านในเป็นเสาวรสและชามะลิ, ทอฟฟี่น้ำปลาระยองที่เราก็ชอบมากอีกเช่นกัน และขนมชูที่เชฟได้แรงบันดาลใจมาจากข้าวหลาม

ที่นี่เป็นอีกร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งที่เราคิดว่าน่าจับตามอง เพราะเชฟเต้ก็เป็นอีกคนที่เราเห็นว่ามีความสร้างสรรค์น่าสนใจมากคนหนึ่ง แถมฝีมือและประสบการณ์ก็ไม่ธรรมดาด้วย

เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากลองประสบการณ์ชิมอาหารไฟน์ไดนิ่ง เราขอแนะนำว่าที่นี่เป็นอีกตัวเลือกที่ดีเลย

You may also like: Wannayook, Taahra, Namo