×

วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 31)

05.10.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

2 Mins. Read

คำนำ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์อภิวัฒน์สยามใน พ.ศ. 2475 นั้นเป็นเหตุการณ์สำคัญมากเหตุการณ์หนึ่งในประเทศของเรา การเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นส่งผลกระทบถึงสังคมส่วนใหญ่และปัจเจกชนส่วนย่อยจำนวนมาก เรื่องราวของผู้ที่ต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตจากการอภิวัฒน์ครั้งนั้นมีบันทึกไว้มากมาย แต่ละบุคคลล้วนผิดแผกแตกต่างกันไป

 

ชีวิตของผู้คนนั้นเป็นแกนกลางของนวนิยายอยู่เสมอ โดยเฉพาะนวนิยายประวัติศาสตร์ ดังนั้นการหยิบยกชีวิตของบุคคลที่เคยอยู่ในตำแหน่งที่สูงเด่น หากแต่ต้องผกผันอย่างคาดไม่ถึงมาเล่าใหม่ในครั้งนี้ แม้จะมีความจริงแฝงอยู่หลายประการ แต่การพ้องเคียงกับชีวิตของบุคคลใดก็ตามเป็นเพียงจินตนาการโดยสมบูรณ์ของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว

บทที่สามสิบเอ็ด

กระสุนปืนจากปลายกระบอกของ พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ เข้าเป้าอย่างแม่นยำ แต่ไม่ใช่ที่ลำตัวของข้าพเจ้า มันพุ่งเข้าสู่ลำคอของบุหลัน เลือดจากบาดแผลนั้นของเธอพุ่งสวนออกมาเป็นทางยาวจนชุ่มโชกผืนดินเบื้องหน้าก่อนที่ร่างของเธอจะล้มลง ข้าพเจ้าหลงกล พนตรี โทรุ ซากาโมโตะ เสียแล้ว เขาหาได้ตั้งใจจะสังหารข้าพเจ้า เขาหาได้ตั้งใจจะสังหาร ศรี อรพินโท เขาหาได้ตั้งใจจะดวลปืนกับข้าพเจ้า เขามีความตั้งใจเพียงประการเดียวคือการปลิดชีพของบุหลัน ซึ่งแม้ว่าข้าพเจ้าจะรู้ความจริงข้อนี้ แต่ทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว

 

ข้าพเจ้าปราดไปที่ร่างของบุหลันแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับ ศรี อรพินโท ที่เป็นอิสระ กระสุนของข้าพเจ้าพุ่งตรงไปที่แสกหน้าของ พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ เขาจากโลกนี้ไปแล้วพร้อมกับรอยยิ้ม ใบหน้าของเขาที่ปรากฏอยู่บนร่างที่ไร้วิญญาณเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ภารกิจของเขาลุล่วงแล้ว เขายอมใช้กลลวงทั้งมวลเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ แม้ว่ากลลวงดังกล่าวจะต้องเดิมพันด้วยชีวิตของเขาเองก็ตามที

 

ทหารญี่ปุ่นที่เหลือเปิดศึกยิงกับมิตรสหายร่วมรบของเรา ทว่าสิ่งเหล่านั้นกลายเป็นอีกโลกที่ไม่ข้องเกี่ยวกับข้าพเจ้าและ ศรี อรพินโท เราทั้งคู่ประคองร่างของบุหลันคนละด้าน เลือดสีแดงสดยังคงทะลักออกมาจากลำคอของเธอ นัยน์ตาเบิกกว้างจนแลเห็นสีดำขลับในนัยน์ตาของเธออย่างชัดเจน ขนตาของเธอเปียกชุ่มด้วยน้ำซึ่งข้าพเจ้าไม่อาจแน่ใจว่ามันคือหยาดเหงื่อหรือน้ำตาของเธอกันแน่ ศรี อรพินโท ตะโกนเรียกชื่อของเธอซ้ำไปซ้ำมารอบแล้วรอบเล่า เขาซุกใบหน้าอันอ่อนล้าและอิดโรยลงกับทรวงอกอันเต่งตูมของเธอ เลือดของบุหลันไหลลงชโลมเส้นผมของ ศรี อรพินโท อย่างช้าๆ ส่วนข้าพเจ้านั้นเกาะกุมแขนเรียวงามของเธอ ลูบคลำชีพจรตรงข้อมือของเธอไปมา ไม่มีสัญญาณแห่งการมีชีวิตอยู่ที่นั่นแล้ว ไม่มีสัญญาณแห่งการมีชีวิตของบุหลันอีกต่อไป บุหลันได้จากโลกนี้ไปในพริบตาด้วยอำนาจแห่งกระสุนปืนนัดนั้น

 

 

ข้าพเจ้ากุมแขนของบุหลันจนเสียงปืนยุติลง ก่อนจะพยุงร่างของ ศรี อรพินโท ขึ้นพร้อมกับอุ้มร่างไร้วิญญาณของบุหลันไว้ในอ้อมแขน ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตหมดแล้วในขณะที่มิตรสหายร่วมรบของเรายังหลงเหลืออยู่อีกสองคน ข้าพเจ้าอุ้มร่างของบุหลันไปที่รถจี๊ป วางร่างของเธอไว้บนที่นั่งเคียงข้างคนขับ ข้าพเจ้าฉีกแขนเสื้อ ม้วนเศษผ้านั้นจนเป็นก้อนกลมก่อนจะใช้มันปิดบาดแผลที่ปลิดชีพของเธอ ศรี อรพินโท และชายสองคนที่หลงเหลืออยู่แบกร่างมิตรสหายที่เหลือขึ้นมายังด้านหลังของรถ ข้าพเจ้าออกรถหลังจากนั้น ขับตรงไปยังถนนเบื้องหน้า ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีจุดมุ่งหมายใดๆ ขอเพียงให้ไปจากที่แห่งนี้ ขอเพียงให้ไปจากแดนประหารแห่งนี้เป็นพอ

 

รถของเราแล่นออกไปนอกเมือง ไกลออกไป ข้าพเจ้ารู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตนเองกำลังบังคับรถให้แล่นไปยัง ตังกูบัน ปาราฮู ภูเขาไฟนอกเมือง ข้างทางเต็มไปด้วยแสงแดดสดใส ต้นชากำลังอวดยอดสีเขียวของมัน ทุ่งข้าวกำลังอวดรวงข้าวสีเหลืองอร่าม โลกนี้ดูไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพียงแค่ความตายของหญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้น เพียงแค่ความตายของหญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้นเอง

 

กลิ่นกำมะถันบ่งบอกว่าข้าพเจ้าได้มาถึงจุดหมายแล้ว อาจเป็นความไม่รู้สึกตัว อาจเป็นสัญชาตญาณ หรืออาจเป็นชะตาลิขิต เราอาจเรียกสิ่งนั้นว่ากระไรก็ดูไม่แตกต่างกันนัก เพราะในที่สุดเมื่อรถจอดสนิทลง เราทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่เหมือนล่วงรู้ว่าจะทำเช่นไรกับร่างของผู้ที่จากไป ศรี อรพินโท สั่งให้มิตรสหายร่วมรบของเราทยอยนำร่างของผู้จากไปโยนลงในปล่องภูเขาไฟทีละร่าง ทีละร่าง จนครบ หลงเหลือร่างไร้วิญญาณไว้เพียงผู้เดียว ร่างของบุหลันที่นั่งอยู่เคียงข้างข้าพเจ้ามาตลอดทาง

 

ข้าพเจ้าลงจากรถ เดินเข้าไปในป่าที่ขึ้นรกอยู่รอบภูเขาไฟ เก็บเศษไม้ที่พบเจอทีละเที่ยวแล้วกองมันไว้ตรงปากปล่องภูเขาไฟ ศรี อรพินโท ดูจะเข้าใจเจตนาของข้าพเจ้า เขาออกคำสั่งให้ชายสองคนที่เหลือกระทำเช่นเดียวกัน ไม่นานนักเราก็ได้กองฟืนขนาดใหญ่ที่ขัดไขว้ไปมาไม่ต่างจากเตียงนอนขนาดใหญ่ เราจะทำเตียงนอนชิ้นสุดท้ายให้เธอ ให้เธอผู้ไม่มีโอกาสลืมตาตื่นอีกแล้วในชีวิตนี้

 

ศรี อรพินโท รับหน้าที่จุดเปลวไฟให้เธอ เขาหาก้อนหินที่มีรูตรงกลาง และลงมือสีไม้จนได้สะเก็ดไฟและต่อเชื้อมันจนกองไฟลุกโชติช่วง ข้าพเจ้าวางร่างของบุหลันลงบนเตียงไม้ที่กำลังมอดไหม้ ท้องฟ้าเปรียบดังผ้าม่านคลุมร่างของเธอ ส่วนควันไฟนั้นไม่ต่างจากผนังของห้องส่วนตน ร่างของบุหลันหายไปในเปลวไฟทีละส่วน ทีละส่วน ความร้อนแรงของเปลวไฟทำให้ผิวหนังของข้าพเจ้าแผดระอุ แต่ดูเหมือนทุกคนจะตกอยู่ในภวังค์ ไม่มีใครถอยห่างจากกองไฟนั้น ทุกคนรู้ดีว่านี่เป็นภาพสุดท้ายของเธอที่เราจะได้เห็น และไม่มีใครอยากละสายตาจากภาพนั้นเลย

 

ราวครึ่งชั่วโมง ร่างของบุหลันก็เปลี่ยนสภาพไปจนหมดสิ้น พวกเรายังคงเติมไฟลงไปในกองฟืนอย่างไม่หยุดยั้ง ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงและต่ำลง ไม่มีใครได้อาหารตกถึงท้องเกือบหนึ่งวันเต็ม แต่ไม่มีใครคิดถึงความหิวโหยเช่นกัน ข้าพเจ้าและบุคคลที่เหลือนั่งขัดสมาธิกับพื้น ศรี อรพินโท หลับตาของเขาราวกับว่าเขากำลังสื่อสารกับบางสิ่งที่ดวงตาของมนุษย์เราไม่อาจมองเห็นได้

 

และเมื่อท้องฟ้ามืดมิดลง ร่างของบุหลันก็หลงเหลือเพียงเถ้าถ่าน ดวงดาวผุดขึ้นในท้องฟ้าเป็นทิวแถว เป็นคืนที่ฟ้าโปร่ง ไร้ลม ไร้ความผันผวนทางอากาศใดๆ ข้าพเจ้ากอบเศษเถ้าของบุหลันขึ้น บุคคลอื่นก็ทำดังนั้นเช่นกัน ทุกคนเดินตรงไปยังปากปล่องภูเขาไฟก่อนจะโปรยเศษเถ้าของเธอลงไปเบื้องล่าง บางส่วนของมันปลิวไป บางส่วนของมันตกลง บางส่วนของมันย้อนคืนเข้ามาในลมหายใจของข้าพเจ้า บุหลันได้ดับสลายเป็นเสี่ยงๆ บุหลันได้กลายเป็นผงธุลีที่เดินทางไปทั่วจักรวาล

 

ข้าพเจ้าออกรถอีกครั้งหนึ่ง ศรี อรพินโท พูดกับข้าพเจ้าเป็นครั้งแรก เขาบอกข้าพเจ้าให้กลับไปยังที่พักเดิมของเราในป่ายางนอกเมือง “ผมมีบางสิ่งจะบอกคุณ ผมมีความลับของบุหลันจะบอกคุณ” ข้าพเจ้ารับฟังคำกล่าวของเขาก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เป็นความลับของบุหลันที่ข้องเกี่ยวกับบุหรงใช่หรือไม่” “ใช่” เขาตอบก่อนจะละสายตาจากข้าพเจ้าไปยังความมืดเบื้องหน้าแล้วเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้เลือดในกายของข้าพเจ้าเยือกเย็นลงทันใด

 

“ความลับที่ผมจะบอกคุณคือความจริงที่ว่า บุหลันและบุหรงนั้นคือบุคคลคนเดียวกัน”

 

(ติดตามตอนต่อไปในวันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม 2561)

 

ติดตามอ่าน วายัง อมฤต ตอนก่อนหน้าได้ที่

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising