บทที่สิบ
ข้าพเจ้ายุติการอ่านเสียที่ตรงนั้น มีอะไรบางอย่างบอกข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้ายังไม่พร้อมที่จะอ่านเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับวายัง ข้าพเจ้าปิดตำราภาษา เก็บปูมเอกสารเข้าที่ และมองหามาเม็ตเพื่อจะสอบถามเขาถึงเวลาและสถานที่แห่งนี้ แต่แล้วข้าพเจ้ากลับพบว่าท้องฟ้าภายนอกมืดสนิทลงแล้ว และแสงสุดท้ายของวันกำลังปิดฉากลงอย่างช้าๆ ข้าพเจ้าจุดตะเกียงลานในห้องขึ้น และถือตะเกียงนั้นออกไปที่ระเบียง ไม่มีรถยนต์ ไม่มีมาเม็ต มีเพียงทุ่งนาสีดำมืดที่ห้อมล้อมบ้านหลังนี้ ข้าพเจ้านำตะเกียงกลับเข้ามาในตัวบ้านและมองหาสวิตช์ไฟจนพบมันที่ข้างเสา ข้าพเจ้าเปิดสวิตช์ไฟ นำความสว่างมาสู่ห้องพัก อาบน้ำที่เย็นเฉียบจากฝักบัวและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ขะมุกขะมอมเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ ข้าพเจ้าพบนาฬิกาข้อมือในกระเป๋าเสื้อผ้า มาเม็ตคงถอดมันออกจากตัวข้าพเจ้าและเก็บไว้ที่นั่น เข็มเวลาในนาฬิกาบอกว่ามันเป็นเวลาหนึ่งทุ่มตรง หากข้าพเจ้าสิ้นสติไปที่บ้านของศรี อรพินโท ในยามค่ำของวันก่อน นั่นก็แสดงว่าข้าพเจ้าไม่ได้รับอาหารใส่ตัวเองเป็นเวลาเกินกว่าหนึ่งวันเต็มๆ
ข้าพเจ้าออกจากห้องพักโดยทิ้งสวิตช์ไฟและความสว่างไว้ดังเดิม หิ้วตะเกียงไปตามทางเดินแคบที่สองข้างทางเต็มไปด้วยพงหญ้า ราวสิบนาทีทางเดินนั้นก็นำไปสู่ถนนใหญ่ ข้าพเจ้าพบว่าหลังจากนั้นตะเกียงได้กลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นอีกต่อไป โคมไฟข้างทางและแสงจันทร์เพียงพอสำหรับการเดินทาง แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าข้าพเจ้าออกเดินทางเพื่อสิ่งใด อาหาร หรือว่ามาเม็ต หรือว่าใครสักคนเพื่อการสนทนา เป็นเวลาเพียงสามวันเท่านั้นที่ข้าพเจ้าเดินทางมาถึงชวา แต่ข้าพเจ้ากลับประสบกับบุคคลอันลี้ลับ อัศจรรย์มากมาย บุหรง, พันตรี โทรุ ซากาโมโต้ และศรี อรพินโท และการประสบพบเจอที่ว่านี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเปล่าเปลี่ยวและเดียวดายอย่างบอกไม่ถูก ข้าพเจ้าปรารถนาจะได้พบใครสักคนที่สนทนาอย่างออกรส สรวลเส หรืออย่างน้อยก็ทำให้ข้าพเจ้าไม่รู้สึกว่าได้ตกอยู่เพียงลำพังในโลกนี้
ถนนใหญ่ทอดยาวไปทั้งสองทาง ข้าพเจ้าเลือกการเดินไปทางขวาอย่างสุ่มเสี่ยง แต่เมื่อข้าพเจ้าเดินไปได้สักระยะหนึ่ง ข้าพเจ้าก็พบว่าตนเองคิดถูก ถนนกำลังนำข้าพเจ้าเข้าสู่ตัวเมือง มีเสียงของผู้คนดังออกมาจากอาคารบางอาคารที่ตั้งอยู่ริมทาง มีเสียงของสัตว์เลี้ยงดังออกมาจากบ้านเรือนบางหลัง ข้าพเจ้าดุ่มเดินไป สอดส่ายสายตามองหารถยนตร์สีดำของมาเม็ตบนท้องถนนและสอดส่ายสายตามองหาร้านอาหารริมทาง หนึ่งกิโลเมตร สองกิโลเมตร เวลาทอดยาวออกไป ถนนทอดไกลออกไป แต่ข้าพเจ้าไม่พบในสิ่งที่มองหาเลย เวลาดูจะทอดยาวไม่สิ้นสุด ถนนดูจะถอดไกลไปชั่วนิรันดร์
แต่แล้วหลังเวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ข้าพเจ้าก็พบร้านเหล้าเล็กๆ ร้านหนึ่งตรงหัวมุมถนน มันเป็นร้านเหล้าแบบตะวันตก ประตูกระจก ผนังกระจก เพดานสูง จากภายนอกมันคล้ายดังร้านน้ำชาบนถนนณอง เอลิเซ่ ถนนสแตรนด์ หรือถนนสายสำคัญในยุโรป โต๊ะในร้านเป็นโต๊ะกลมที่หน้าโต๊ะทำจากหินอ่อน เก้าอี้พิงหลังเป็นเก้าอี้ทอร์เนตจากฝรั่งเศส หากไม่มีกลิ่นเครื่องเทศ กระวาน และกานพลูที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ และตัวหนังสือภาษาชวาข้างทาง ข้าพเจ้าคงเชื่อว่าตนเองได้เดินเท้ากลับสู่บ้านเกิดแล้วอย่างแน่นอน
ข้าพเจ้าผลักประตูกระจกบานใหญ่ มีเสียงกระดิ่งที่แขวนอยู่ด้านบนของประตูดังขึ้น ชายบริกรที่อยู่หลังบาร์เงยหน้าขึ้นจากเครื่องดื่มในมือ เขาส่งยิ้มให้ข้าพเจ้า “เซลามัต ดาตัง” เขาส่งสัญญาณมือให้ข้าพเจ้าเลือกที่นั่งได้ตามใจปรารถนา “ทุกโต๊ะในที่นี้เป็นของคุณ” เขากล่าว
น้ำเสียงของชายผู้เป็นบริกรฟังดูเป็นมิตรอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าเลือกโต๊ะด้านในสุดของร้าน จากมุมนั้นข้าพเจ้าสามารถมองเห็นถนนทั้งสายผ่านผนังกระจกได้อย่างไม่ลำบาก และทันทีที่ข้าพเจ้านั่งลงบนเก้าอี้ทอร์เนต ชายบริกรในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว หูกระต่ายสีดำ และกางเกงสีดำก็มาถึงที่โต๊ะ เขายื่นรายการเครื่องดื่มให้ข้าพเจ้า ก่อนจะเอ่ยกับข้าพเจ้าเป็นภาษาอังกฤษว่า
“บุหงา รำไพ ยินดีต้อนรับ เรามีเครื่องดื่มพอให้คุณเลือกได้ไม่น้อยแม้ว่าจะอยู่ในภาวะสงคราม คุณจะรับอะไรดีสำหรับแก้วแรกของวัน มาร์ตินี่ เวอร์มุธ หรือไวน์แดงดี”
ข้าพเจ้าอ่านรายการเครื่องดื่มที่พิมพ์อยู่บนกระดาษแข็งสีน้ำตาลอ่อนสองเที่ยวก่อนจะขอจินโทนิคหนึ่งแก้วจากเขา ชายผู้เป็นบริกร รับคำสั่งนั้นด้วยรอยยิ้มแล้วหันหลังกลับ เป็นข้าพเจ้าเองที่กล่าวคำขอโทษตามหลังเขา “ขอโทษ คุณยังมีอาหารให้บริการด้วยไหม ที่นี่”
ชายผู้เป็นบริกรหันหลังกลับมาหาข้าพเจ้า “เกรงว่าเราจะไม่สามารถทำอาหารได้แล้วในยามนี้ ไฟในครัวดับลงหมดแล้วครับ เว้นเสียแต่ว่า…”
“เว้นเสียแต่ว่า?”
“เว้นเสียแต่ว่าคุณจะยินดีทานแซนด์วิชที่ผมเพิ่งทำเสร็จเมื่อครู่ ตอนแรกผมตั้งใจจะนำมันกลับบ้านไปด้วยหลังร้านปิด แต่ถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมยินดีแบ่งบางส่วนให้มันเป็นอาหารเย็นของคุณ”
คำตอบของเขาเป็นข้อเสนอที่ข้าพเจ้ายากจะปฏิเสธ โดยเฉพาะเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่าความหิวกำลังเข้ากลุ้มรุมทำร้ายตนเองอยู่อย่างหนักหน่วง ไม่ถึงห้านาที จินโทนิคก็ถูกวางที่เบื้องหน้าข้าพเจ้าหลังจากนั้นอีกไม่นานนัก แซนด์วิชที่เต็มไปด้วยเนื้อไก่อ่อนนุ่มและซอสมัสตาร์ดพร้อมด้วยหัวหอมซอยและผักกาดเขียวสดก็ติดตามมา ข้าพเจ้าจัดการทั้งสองสิ่งนี้ในเวลาอันรวดเร็ว และคิดว่าควรคั่นจังหวะการดื่มด้วยกาแฟร้อนสักถ้วย ข้าพเจ้าสั่งเอสเพรสโซ และไม่ถึงห้านาที กลิ่นหอมหวนของกาแฟก็ลอยอบอวลอยู่ที่โต๊ะของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจุดบุหรี่ขึ้นสูบพลางจิบกาแฟในถ้วยไปด้วย ทุกสิ่งที่ผิดปกติมาตลอดเวลาสามวันดูจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้นแล้ว ท่ามกลางควันบุหรี่ ข้าพเจ้าคิดถึงนวนิยายเรื่อง แม็กซ์ ฮาเวลลา ที่อ่านค้างไว้ เพราะเหตุใดหรือ ข้าราชการชาวดัตช์อย่าง เเม็กซ์ ฮาเวลลา ถึงลุกขึ้นต่อสู้กับระบบอันฉ้อฉลของเจ้าอาณานิคม ที่ประเทศของตนเป็นผู้สร้างขึ้น ความรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมกระนั้นหรือ การเอาเปรียบจากแรงงานชาวชวาในไร่กาแฟกระนั้นหรือ ฤาว่าเขาได้รับอิทธิพลจากชีวิตและความตายของ ปีเตอร์ เอเบอร์เดล ข้าพเจ้าครุ่นคิดเรื่องราวเหล่านี้ท่ามกลางควันบุหรี่ตัวแล้วตัวเล่า และคงครุ่นคิดเช่นนั้นไปทั้งคืน หากรถยนตร์คาดิลแลคสีดำของมาเม็ต จะไปแล่นเข้าเทียบและจอดสนิทยังอาคารสองชั้นฝั่งตรงข้ามกับร้านเหล้าของข้าพเจ้า ในตอนแรกข้าพเจ้าคิดว่ามาเม็ตออกมาตามหาข้าพเจ้า และเห็นข้าพเจ้านั่งอยู่ในร้านเหล้าแห่งนี้ แต่เหตุการณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ มาเม็ตก้าวออกจากรถ ตรงไปที่ประตูไม้ของอาคารหลังนั้นและเคาะประตูนั้นเป็นจังหวะ ก่อนที่ใครสักคนข้างในจะเปิดประตูบานนั้นขึ้นและเขาผลุนผลันหายไปหลังบานประตูนั้นเอง
ข้าพเจ้าลุกออกจากเก้าอี้ในนาทีต่อมา หมายใจจะติดตามมาเม็ตเข้าไปในบ้านหลังนั้น หากแต่ชายผู้เป็นบริกรได้ตรงเข้ามายึดแขนของข้าพเจ้าไว้ เป็นสัญญาณให้ข้าพเจ้ารู้ตนว่าไม่ควรกระทำเช่นนั้น “ไม่มีประโยชน์” เขากล่าวกับข้าพเจ้า “รสา ดาราห์ หรือวิหารแห่งรสเลือดไม่ต้อนรับคนต่างชาติ คุณอาจเคาะประตูบานนั้นจนรุ่งสาง แต่มันจะไม่มีวันเปิดขึ้น” “รสา ดาราห์” ข้าพเจ้าทวนคำ “ใช่ รสา ดาราห์ ดินแดนแห่งการปลดปล่อยอันหฤหรรษ์ผ่านเนื้อหนัง ผมเข้าใจดีว่าในช่วงสงครามอันโหดร้ายเช่นนี้ พวกเราบุรุษหนุ่มล้วนต้องการสัมผัสร่างกายของเพศตรงข้ามเพื่อผ่อนคลายตนเองเสียจากความปวดร้าว ความเขม็งเครียด ความรุนแรงทั้งปวง แต่น่าเสียดาย ที่รสา ดาราห์ ต้อนรับเฉพาะคนชวา นี่เป็นกฎเกณฑ์ตายตัวที่มีมากว่าสองร้อยปีแล้ว ผมเสียใจจริงๆ ที่ต้องกล่าวเช่นนั้น แม้ว่ามันจะดับสิ้นเสียซึ่งความฝันของคุณก็ตาม”
ข้าพเจ้ากลับมานั่งที่โต๊ะของตนเองอีกครั้ง จุดบุหรี่อีกตัวขึ้นสูบ ชายผู้เป็นบริกรเดินมาที่โต๊ะของข้าพเจ้าพร้อมกับกาแฟอีกหนึ่งถ้วย “ดื่มไอ้นี่เสียหน่อย ไอริชกาแฟ อย่างน้อยมันคงให้ความชุ่มชื่นแก่คุณได้บ้าง เป็นการชดเชยอะไรบางอย่างที่ขาดหายไปจากชีวิตเรายามนี้” ข้าพเจ้าจิบกาแฟที่ผสมวิสกี้ถ้วยนั้นอย่างช้าๆ “สองร้อยปีของการบริการทางเพศ คุณกล่าวว่า รสา ดาราห์ ที่มีกิจการด้านการให้บริการทางเพศยืนยงมาเป็นเวลานับสองร้อยปีเทียวหรือ?” ชายผู้เป็นบริกรสั่นศีรษะของเขาเบาๆ ไม่ใช่คำกล่าวของผมหรอก เป็นคำกล่าวของทุกคนที่รู้จัก รสา ดาราห์ เล่ากันว่า กิจการนี้ก่อตั้งขึ้นหลังการขบถของปีเตอร์ เอเบอร์เดล ด้วยทายาทที่เป็นลูกสาวอันไม่ปรากฏนามของเขาเพื่อแสวงหาทุนรอนไว้ล้างแค้นผู้ที่สังหารบิดาของนาง แต่เหตุผลใดไม่ทราบได้ที่แม้ว่าผู้สังหารปีเตอร์ เอเบอร์เดล จะตายตกตามกันอย่างลึกลับ จนทุกคนเชื่อว่าเป็นฝีมือของ รสา ดาราห์ ตัวกิจการนี้กลับไม่ยอมยุติหลังจากการแก้แค้นนั่น มันยืนยง เปลี่ยนสถานที่ จากเมืองสู่เมือง จากแคว้นสู่แคว้น จากเกาะสู่เกาะ เราเชื่อว่ายังมีการให้บริการทางเพศหลังประตูนั่น แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนที่จะได้เข้าไปพบความจริงในนั้น”
“แต่คุณบอกกับผมว่า รสา ดาราห์ ต้อนรับเฉพาะคนชวา ถ้าเช่นนั้นทำไมทุกคนจะไม่มีโอกาสพบความจริงที่ว่าเล่า?”
“แน่นอน ที่รสา ดาราห์ ต้อนรับเฉพาะชายชาวชวา แต่ไม่ใช่ชายชาวชวาทุกคนที่จะมีสิทธิ์ผ่านประตูบานนั้นเข้าไปได้” หลังประโยคนั้น ชายผู้เป็นบริกรจ้องมองไปยังอาคารฝั่งตรงข้าม เขาขยับหูกระต่ายที่คอเสื้อจนเข้าที่ก่อนจะสนทนาต่อ “ค่าผ่านประตูของรสา ดาราห์ มีราคาที่สูงมาก เราไม่รู้ว่าราคาเท่าใด แต่ผู้ประสงค์จะต้องติดต่ออย่างลับๆ กับตัวแทนของ รสา ดาราห์ พวกเขาจะถูกตรวจสอบ ว่าเป็นคนที่มีการศึกษา มีมารยาท มั่งคั่ง เงินมัดจำจะถูกส่งมาที่นี่ก่อนเป็นเบื้องแรก และชายผู้ผ่านกฎเกณฑ์จะได้รับคำแนะนำให้นำเงินส่วนที่เหลือมาในวันที่เขาได้รับอนุญาตให้เขาไปภายในนั้น และหลังจากนั้น เขาอาจได้รับอนุญาตให้กลับมาอีกหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับความประพฤติปฏิบัติของตัวเขาเอง”
“และถ้ามีคนที่ไม่อาจรอได้เล่า ถ้าหากมีคนที่ไม่อาจปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ได้เล่า” ข้าพเจ้าถาม
“เกมาเตียน ความตาย ในรอบร้อยปีแรก มีคนชวาและดัตช์พยายามบุกเข้าไปในรสา ดาราห์ แต่พวกเขาถูกโยนออกมาในสภาพที่แทบไม่เหลือชิ้นดี ร่างกายถูกแยกเป็นชิ้นราวกับถูกฉีกด้วยสัตว์ร้ายขนาดมหึมา สองหรือสามครั้งของการบุกรุกที่ว่า และสองหรือสามครั้งของความตายเช่นนั้น หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวไม่มีใครบุกรุก รสา ดาราห์ อีกเลย”
ข้าพเจ้าจุดบุหรี่อีกตัวขึ้นสูบ รู้สึกหนาวเย็นจากอากาศรอบตัวอย่างบอกไม่ถูก “ถ้า รสา ดาราห์ โยกย้ายตนเองจากเมืองสู่เมือง จากแคว้นสู่แคว้น จากเกาะสู่เกาะ เราจะรู้ได้เช่นไรว่าสถานบริการเช่นนั้นคือ รสา ดาราห์ ไม่ใช่โรงโสเภณีแบบทั่วไป” “สัญลักษณ์รูปนกที่หน้าบันของอาคารอย่างไรเล่า คุณเงยหน้ามองไปบนยอดสุดของอาคาร จะมีรูปสลักที่เป็นนกตัวหนึ่งสถิตอยู่ที่นั่น สัญลักษณ์รูปนกหรือบุหรง ตัวนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยมากว่าสองร้อยปีแล้ว”
มีรูปนกที่สลักจากสำริดอยู่ตัวหนึ่งจริงๆ สถิตอยู่ที่หน้าบันของอาคารจริงๆ มันถูกแกะสลักขึ้นอย่างประณีต อายุของมันจะเป็นของใหม่ที่เพิ่งทำขึ้นหรือเป็นของเก่านับร้อยปีข้าพเจ้าไม่อาจแน่ใจนัก สิ่งที่ข้าพเจ้าแน่ใจมีเพียงว่าสัญลักษณ์รูปนกที่ว่าเป็นสัญลักษณ์แบบเดียวกับการูปนกบนหน้าปกของพจนานุกรมภาษามธุเรศที่ข้าพเจ้าได้จากศรี อรพินโท ทว่าการขบคิดที่ว่านี้ถูกขัดจังหวะลงด้วยการกลับออกมาข้างนอกของมาเม็ต เขากลับเข้าไปในรถยนตร์และก่อนที่ข้าพเจ้าจะทันผลุนผลันวิ่งออกไปนอกร้านเพื่อหยุดยั้งเขา มาเม็ตก็ได้ขับรถคู่ใจของเขาหายไปในความมืดเสียแล้ว
ข้าพเจ้ายืนหยุดนิ่งอยู่ที่กลางท้องถนนอันว่างเปล่า ระคนไปด้วยความผิดหวังและความโทมนัสนานา ข้าพเจ้าไม่อาจคว้าตัวมาเม็ตไว้เพื่อสอบถามหาความจริง อีกทั้งยังไม่อาจก้าวล่วงเข้าไปในรสา ดาราห์ อีกด้วย ข้าพเจ้าแหงนมองรูปสลักรูปนกตัวนั้นด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างจากวิญญาณอันต่ำต้อยแหงนมองพระเจ้าอันสูงส่ง มันช่างเป็นความรู้สึกที่ไร้ค่าในตนเองกระไรเช่นนั้น ข้าพเจ้าแหงนมองรูปสลักที่ว่าอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินกลับเข้าไปในร้าน ทว่า นาทีนั้นเองที่เสียงเปิดประตูของรสา ดาราห์ ดังขึ้น หญิงชราคนหนึ่ง เปิดประตูบานนั้นออก จ้องมองมาที่ข้าพเจ้า หล่อนมัดผมเรียบร้อยและแต่งกายอย่างสุภาพในชุดพื้นเมือง “มิสเตอร์ ไฮน์ริช เบิล” หญิงชราผู้นั้นกล่าว “รสา ดาราห์ ขอเชิญท่านเข้ามาเยือน”
ติดตามอ่าน วายัง อมฤต ตอนก่อนหน้าได้ที่
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 1-2)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 3-4)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 5)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 6-7)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 8)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 9)
(ติดตามตอนต่อไปในวันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม 2560)