×

วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 15-16)

26.01.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read

:: คำนำ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์อภิวัฒน์สยามในปีพุทธศักราช 2475 นั้นเป็นเหตุการณ์สำคัญมากเหตุการณ์หนึ่งในประเทศของเรา การเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นส่งผลกระทบถึงสังคมส่วนใหญ่และปัจเจกชนส่วนย่อยจำนวนมาก เรื่องราวของผู้ที่ต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตจากการอภิวัฒน์ครั้งนั้นมีบันทึกไว้มากมาย แต่ละบุคคลล้วนผิดแผกแตกต่างกันไป

 

ชีวิตของผู้คนนั้นเป็นแกนกลางของนวนิยายอยู่เสมอ โดยเฉพาะนวนิยายประวัติศาสตร์ ดังนั้นการหยิบยกชีวิตของบุคคลที่เคยอยู่ในตำแหน่งที่สูงเด่น หากแต่ต้องผกผันอย่างคาดไม่ถึงมาเล่าใหม่ในครั้งนี้ แม้จะมีความจริงแฝงอยู่หลายประการ แต่การพ้องเคียงกับชีวิตของบุคคลใดก็ตามเป็นเพียงจินตนาการโดยสมบูรณ์ของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว

 

อนุสรณ์ ติปยานนท์

 

บทที่สิบห้า

รถยนต์ของพวกทหารญี่ปุ่นเกาะกลุ่มวิ่งลัดเลาะเข้ามาในป่ายางพาราบริเวณนั้นด้วยความเร็ว พวกเขาขับมันด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะกระทำได้ กระนั้นก็ยังช้ากว่าเสียงกระสุนปืนที่ถูกกระหน่ำยิงออกจากฝ่ายเรา เมื่อข้าพเจ้าหันตามไปยังเสียงกระสุนที่ว่า ภาพอันไม่น่าเชื่อก็ปรากฏขึ้น บรรดาผู้ป่วยที่ข้าพเจ้าพบเห็นในเวลาเช้าของวันนี้พากันลุกออกจากเตียง พวกเขาแบกปืน แบกอาวุธ และกำลังใช้อาวุธที่มีโจมตีทหารญี่ปุ่นอย่างไม่คิดชีวิต ศรี อรพินโท กระโจนออกจากโต๊ะเช่นกัน เขาคว้าปืนยาวที่แขวนอยู่ที่ฝาผนัง ขึ้นลำและประทับปืนกับขอบหน้าต่างก่อนจะยิงตรงที่ศัตรูผู้รุกราน พวกทหารญี่ปุ่นพากันลงจากรถของพวกเขาแล้ว ข้าพเจ้าคาดคะเนจำนวนน่าจะอยู่ที่ประมาณสามสิบถึงสี่สิบคน ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีจำนวนมากกว่าเราเกินครึ่งหนึ่ง และนั่นหมายถึงในกรณีที่พวกเขาไม่มีกำลังหนุนด้วย ข้าพเจ้าพยายามมองหา เกมาเตียน บุหรง หรือนกแห่งความตาย แต่ไม่เป็นผล เสียงปืนได้กลบเสียงร้องของมันไปแล้ว

 

สภาพที่ตกอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นของข้าพเจ้าถูกปลุกด้วยสัมผัสของบุหลัน ดูเธอจะยังครองสติอยู่ได้ เธอนำข้าพเจ้าเข้ามาในห้องพักของเธอก่อนจะมอบปืนพกขนาดเล็กให้ข้าพเจ้าหนึ่งกระบอก “รอฉันอยู่ที่นี่ มีประตูบานเล็กอยู่ทางด้านหลังของครัว แง้มประตูบานนั้นไว้และรอเสียงเรียกจากฉันว่าเราจะรับมือสถานการณ์การรุกรานนี้อย่างไร”

 

บุหลันหยิบกล้องส่องทางไกลจากโต๊ะทำงานของเธอและตรงไปยืนเคียงข้างกับ ศรี อรพินโท เธอส่องกล้อง ระบุตำแหน่งข้าศึก ในขณะที่ ศรี อรพินโท เป็นฝ่ายปล่อยกระสุนออกไป เสียงปืนของเขาเรียกเสียงร้องโอดโอยของทหารญี่ปุ่นได้แทบทุกนัด  ช่างเป็นสถานการณ์ที่แปลกประหลาดเหลือเกินสำหรับข้าพเจ้า แม้ว่าข้าพเจ้าจะเคยยิงปืนหลายครั้งและคุ้นชินกับเสียงกระสุนปืนอยู่บ้าง แต่การที่ตื่นขึ้นในยามเช้าเพื่อพบกับการศึกเช่นนี้ติดต่อกันมาเป็นเวลาสองสามวันแล้วทำให้ข้าพเจ้ามวนท้องจนแทบอาเจียน กลิ่นเลือดที่ข้าพเจ้าห่างหายมันไปนานนับแต่ย่างเท้าออกจากคลองสุเอซหวนคืนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันก่อน ข้าพเจ้ายืนอยู่เคียงข้างนายทหารญี่ปุ่นหลบกระสุนจากกลุ่มคนพื้นเมือง บัดนี้ข้าพเจ้าแอบอิงในบ้านพักของชนพื้นเมืองและกำลังกำบังตนเสียจากห่ากระสุนของทหารญี่ปุ่น ข้าพเจ้าเป็นใครกันแน่ในดินแดนแห่งนี้ ข้าพเจ้าเป็นผู้ใดกันในสถานการณ์แบบนี้ ข้าพเจ้าเป็นคนฝรั่งเศส คนเยอรมัน เป็นมิตรกับญี่ปุ่น หรือเป็นศัตรูกับเขา สิ่งเหล่านี้เป็นความสับสนที่อุบัติขึ้นในความคิดคำนึงของข้าพเจ้าในเสี้ยวนาทีแห่งการรบราน

 

มีเสียงระเบิดดังขึ้นหลายครั้งที่เรือนพยาบาล ทหารญี่ปุ่นเริ่มต้นใช้อาวุธหนักเมื่อเห็นว่าฝ่ายตนเองกำลังเพลี่ยงพล้ำ หลังเสียงระเบิดมีเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นจากอาคาร ท่ามกลางหมอกควันนั้นข้าพเจ้าได้เห็น พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ กำลังนำกลุ่มทหารฝ่าเข้ามา ในขณะที่เสียงปืนจากภายในเรือนอาคารเงียบสนิทลง แรงระเบิดคงทำความเสียหายอย่างมากให้กับทหารของชนพื้นเมือง ข้าพเจ้าขึ้นไกปืน และพุ่งไปที่หน้าต่าง อย่างน้อยกระสุนในปืนคงหยุดทหารญี่ปุ่นไว้ได้สักสองสามคน ข้าพเจ้าตัดสินใจได้แล้วว่าตนเองเป็นผู้ใดและอยู่ฝั่งฟากไหนของสงครามครั้งนี้ แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะลั่นกระสุนนัดแรก เสียงตะโกนของมาเม็ตจากทางประตูด้านหลังก็ดังขึ้น “หนี หนี ทหารญี่ปุ่นอีกกลุ่มกำลังตามมาสมทบแล้ว”

 

มาเม็ตจอดรถของเขาตรงประตู กระจกด้านข้างคนขับแตกละเอียด แต่ทั้งข้าพเจ้า ศรี อรพินโท และบุหลัน ไม่มีใครสนใจ ข้าพเจ้าเปิดประตูด้านหลังให้คนทั้งคู่ ส่วนข้าพเจ้าดันตนเองเข้าไปนั่งเคียงข้างมาเม็ต เศษกระจกทิ่มแทงหลังและบั้นท้ายของข้าพเจ้า แต่ดูเหมือนหลังจากกระสุนนัดแรกที่เรียกเลือดจากแขนข้างซ้ายของข้าพเจ้าเมื่อหลายวันก่อน ข้าพเจ้าไม่ได้แยแสความเจ็บปวดอีกต่อไป ร่างกายของข้าพเจ้าได้เปลี่ยนแปลงตนจากนักภาษาศาสตร์ไปสู่การเป็นนักรบแล้วหลังกระสุนนัดนั้น

 

มาเม็ตจับคันเกียร์ไว้มั่น เขาเร่งเครื่องและใช้จังหวะที่ทหารญี่ปุ่นกำลังมุ่งหน้าเข้าไปทางเรือนพยาบาล ขับรถฝ่าออกไป มีเสียงกระสุนพุ่งมาที่รถของเราอย่างถี่ยิบ แต่มาเม็ตดูเหมือนจะเชื่อมั่นในฝีมือการขับรถของเขาอย่างยิ่งยวด เขาหักซ้ายและขวาพารถฝ่าทหารเหล่านั้นออกมา ทหารญี่ปุ่นที่ทันรู้ตัว กระโดดขึ้นรถจี๊ปของฝ่ายตนเอง แต่เสียงปืนจากเรือนพยาบาลซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นนัดท้ายๆ แล้วพุ่งตรงไปยังล้อทั้งสี่ของรถจี๊ปคันนั้น มาเม็ตหลุดรอดจากรถคันแรกได้ แต่มีรถตามหลังมาอีกสองคัน เขาขับพาเรามาถึงแม่น้ำสายหนึ่งและเมื่อพ้นจากสะพานไม้ที่ก่อสร้างแบบชั่วคราวแล้ว เขาโยนระเบิดลูกหนึ่งไปที่ปลายสะพาน ทำให้สะพานหลุดลอยลงไปในแม่น้ำและทิ้งรถจี๊ปของทหารญี่ปุ่นอีกสองคันนั้นไว้ที่ฟากถัดไปของสะพาน

 

บทที่สิบหก

รถของเราแล่นผ่านท้องนาสีเขียวขจี ทิ้งห่างเหตุการณ์อันน่าหวาดเสียวไว้เบื้องหลัง ข้าพเจ้าถอนหายใจอย่างโล่งอกและล้วงกระเป๋าค้นหายาเส้นเพื่อจุดขึ้นสูบ ทว่า ข้าพเจ้าพบว่าได้ลืมมันไว้บนโต๊ะภายในบ้านพักของบุหลัน เมื่อนึกถึงบุหลัน ข้าพเจ้าก็นึกถึงบุหรง หลังจากกามกิจที่ข้าพเจ้ามีต่อเธอในคืนนั้นแล้ว เธอไปอยู่ ณ ที่หนใด เป็นไปได้หรือที่จะมีใครหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับเธอเช่นดังบุหลัน หรือว่าบุหลันจะเป็นเธอ เป็นไปไม่ได้ ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับบุหลันนั้นหามีแม้แต่นาทีเดียวใดไม่ที่เธอแสดงอาการออกมาว่าเคยรู้จักข้าพเจ้ามาแต่กาลก่อน หากเธอจะเป็นนักแสดง ก็ย่อมเป็นนักแสดงชั้นยอดทีเดียว ไม่ใช่เธอเป็นแน่ ปริศนาข้อนี้ข้าพเจ้าถือว่าเป็นความลับที่รอการเปิดเผย ไม่มีความลับใดสถิตอยู่ในโลกนี้ ข้าพเจ้าเชื่อเช่นนั้น แม้กระทั่งความลับที่ข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในผู้ต่อต้านกองทัพเยอรมันก็ยังหาได้เป็นความลับอีกต่อไปแล้ว

 

ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงอย่างรวดเร็วจนทุกอย่างดูอับแสงไปหมด แต่ทว่าไม่เพียงแต่การสิ้นแสงของดวงอาทิตย์ที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความมืดมัว ขณะนี้รถของเรากำลังแล่นผ่านเข้าไปในป่าทึบ ถนนที่ทำจากดินทำให้การเดินทางของเราช้าลง ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าพวกเรากำลังมุ่งหน้าไปที่ใด มาเม็ตนั้นเมื่อพ้นจากห้วงขณะอันวิกฤตแล้ว เขาก็กลับเป็นบุคคลเดิมที่ประหยัดถ้อยวาจาอีกครั้ง ข้าพเจ้าหันหลังไปหมายจะถามบุหลันถึงจุดหมายของการเดินทางแต่กลับพบว่าเธอกำลังประคองกอดร่างของศรี อรพินโท ที่ชุ่มโชกด้วยเลือด เขาส่งเสียงหายใจรวยริน และดูเหมือนบุหลันจะเข้าใจในอากัปอาการของข้าพเจ้า เธอเอ่ยกับมาเม็ตว่า “เร่งเครื่องหน่อยเถิด เราต้องไปถึงที่นั่นก่อนตะวันจะตกดินหรืออย่างน้อยก็ก่อนที่ศรี อรพินโท จะสิ้นใจ”

 

มาเม็ตเร่งเครื่องตามคำพูดของบุหลัน แต่มันก็เร็วขึ้นได้เพียงเล็กน้อย ถนนที่ซอกซอนไปในป่านั้นยากต่อการควบคุมพาหนะขับเคลื่อนอย่างยิ่ง ข้าพเจ้ามองร่างของศรี อรพินโท จากกระจกส่องหลัง เลือดบนออกของเขาแดงฉาน เขาคงถูกกระสุนปืนในขณะที่พวกเรากำลังฝ่าทหารญี่ปุ่นออกมา ต้นไม้ในป่าสูงใหญ่และทำให้ความมืดเผยตัวมากขึ้น มีบ้านเรือนสองสามหลังในระหว่างทาง ผู้เป็นเจ้าของบ้านเรือนเหล่านั้นมีลักษณะแตกต่างจากชนพื้นเมืองที่ข้าพเจ้าเคยพบ ร่างของพวกเขาไม่สูงใหญ่นัก ผิวของพวกเขาสีดำมะเมื่อม และเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ผู้ชายนุ่งผ้าแบบเคียนเอวและปล่อยให้ท่อนบนเปลือยเปล่า ส่วนผู้หญิงนั้นนุ่งผ้าซิ่นสีดำสนิทและปล่อยให้ท่อนบนเปลือยเปล่าอีกเช่นกัน พวกเขาออกจากบ้านมาดูพวกเราด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตร แต่เมื่อเห็นว่าคนขับรถคันที่บุกรุกเข้ามาในพื้นที่ของพวกเขาคือมาเม็ต พวกเขาก็กลับเข้าไปในบ้าน ปิดประตูลงกลอนราวกับพวกเราเป็นเชื้อโรคร้ายที่แพร่กระจายมาถึง

 

ก่อนตะวันสิ้นแสง รถของเราก็จอดลงที่ลานโล่งหน้าถ้ำแห่งหนึ่ง หน้าถ้ำแห่งนั้นมีชายชราผู้หนึ่งนั่งสูบยาอยู่อย่างผ่อนคลาย เขาโพกผ้าที่ศีรษะ ลายของผ้านั้นเป็นรูปนกแปลกตา เขาลุกขึ้นจากที่นั่งเมื่อรถของเราจอดสนิท ตรงไปที่ปากถ้ำและจุดคบไฟขึ้น กิริยาอาการของเขาราวกับว่าได้เตรียมพร้อมต้อนรับเรามาเนิ่นนานแล้ว พวกเราทั้งหมดลงจากรถ มาเม็ตเข้าพยุงร่างของ ศรี อรพินโท โดยมีบุหลันเป็นผู้ช่วย พวกเขาเดินนำหน้าข้าพเจ้าไป โดยที่มีข้าพเจ้ารั้งท้าย ปืนพกในมือของข้าพเจ้าชุ่มไปด้วยเหงื่อในขณะที่พวกเรามุ่งหน้าเข้าไปในถ้ำแห่งนั้น

 

ราวครึ่งชั่วโมง หลังการเดินผ่านผนังถ้ำสีเทาและหินที่ย้อยลงจากเพดานถ้ำ พวกเราก็ได้ยินเสียงน้ำ ชายชราผู้นั้นกระโจนลงจากแท่นหินสุดทางเดินของเราและปักคบไฟไว้กับซอกผนังถ้ำ ข้าพเจ้าได้เห็นอาณาบริเวณนั้นอย่างเต็มตาด้วยแรงจากแสงไฟนั้นเอง ข้างล่างนั้นเป็นลานโล่งที่เต็มไปด้วยทรายละเอียด มีบ่อน้ำที่รองรับน้ำจากร่องน้ำที่ไหลมาจากอีกฝั่งหนึ่งของถ้ำ ในลานทรายแห่งนั้นมีแคร่ไม้ไผ่ ที่สามารถล้มตัวลงนอนได้อย่างสนิทใจ มีข้าวสารอยู่ในโถดินเผา มีแม้กระทั่งเนื้อแห้ง ฟืนและคนโทน้ำ ไม่นับว่ามันยังมีหนังสืออีกสองสามเล่มบนแคร่ อุปกรณ์เวชภัณฑ์ที่ทำจากสมุนไพรและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เราไม่คิดว่าจะได้พบในถ้ำอย่าง มีด และธนู ข้าพเจ้ากระโจนลงไปข้างล่างเป็นคนแรก และคอยรับร่างของศรี อรพินโท ที่ถูกลำเลียงลงมาอย่างทุลักทุเล เมื่อต้องโอบอุ้มร่างเขาอย่างใกล้ชิด ข้าพเจ้าจึงพบว่าเขาถูกกระสุนเข้าที่ทรวงอกข้างขวาเป็นแผลฉกรรจ์จนอดสงสัยไม่ได้ว่าหากเป็นบุคคลอื่นที่ไม่มีความแข็งแรงทางจิตใจและร่างกายเช่นเขาแล้ว บุคคลนั้นคงจากโลกนี้ไปแล้วในระหว่างทาง

 

 

บุหลันจุดคบไฟอีกอันหนึ่งขึ้น ครานี้ความสว่างของมันทำให้ลานโล่งนั้นเต็มไปด้วยแสงเงาไม่ต่างจากเวทีละคร มาเม็ตและข้าพเจ้าพยุงร่างของ ศรี อรพินโท ไปที่แคร่ ข้าพเจ้าเปิดคนโทน้ำและเทน้ำใส่ปากของเขา ศรี อรพินโท กลืนน้ำนั้นอย่างกระหาย มาเม็ตเริ่มต้นใช้ข้าวสารและเนื้อแห้ง หุงหาอาหาร ในขณะที่ บุหลัน ฉีกแขนเสื้อของเธอออกแล้วซับน้ำจากบ่อน้ำมาเช็ดหน้าตาให้ ศรี อรพินโท ข้าพเจ้ามองหาชายชราผู้นำทางของเราเพื่อจะสอบถามเขาถึงการกลับออกจากถ้ำหากศรี อรพินโท หายดีเป็นปกติ ทว่า เขากลับไม่อยู่ในสถานที่นั้นแล้ว

 

“พวกเราคงต้องพักอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง” บุหลันกล่าวกับข้าพเจ้า “คุณคงไม่มีธุระอะไรสำคัญกระมัง?” ข้าพเจ้าพยักหน้ารับ หลังการยอมรับความจริงว่าข้าพเจ้าไม่ใช่นักภาษาศาสตร์อย่างที่บุคคลอื่นคิด ข้าพเจ้าก็พร้อมที่จะผจญภัยไปในทุกสิ่ง ศรี อรพินโท หลับสนิทในขณะที่บุหลันถอดเสื้อของเขาออก เธอโยนสมุนไพรชนิดหนึ่งลงไปในครกไม้ขนาดใหญ่แล้วตำมันจนละเอียดก่อนจะใช้มันพอกไปที่บาดแผลของศรี อรพินโท ข้าพเจ้าใช้ช่วงเวลานั้นทำความสะอาดตนเองด้วยเช่นกันด้วยการใช้น้ำในบ่อล้างหน้าล้างตา เมื่อข้าพเจ้าลุกขึ้นจากบ่อก็พบว่าบุหลันยืนอยู่ข้างหลังแล้ว เธอยื่นถ้วยเล็กๆ ที่มีสมุนไพรแบบเดียวกับที่ใช้พอกแผลกระสุนปืนของ ศรี อรพินโท ให้กับข้าพเจ้า “พอกแขนข้างซ้ายของคุณด้วยสิ อาการของคุณจะดีขึ้นในไม่ช้า”

 

ข้าพเจ้าเลือกหินก้อนหนึ่งเป็นที่นั่ง ถอดเสื้อของตนเองออกแล้วใช้สมุนไพรนั้นทาไปจนทั่วแผล มันให้ความรู้สึกเยือกเย็นราวกับโดนก้อนน้ำแข็ง “คุณพบสถานที่นี้ได้อย่างไร?” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ บุหลันส่ายศีรษะให้กับข้าพเจ้าอย่างช้าๆ “พวกเราไม่ได้พบสถานที่แห่งนี้ แต่สถานที่แห่งนี้ต่างหากที่เรียกหาเรา นี่เป็นสถานที่ที่โลกแห่ง วายัง อมฤต ปรากฏตนขึ้นให้พวกเราเห็นเป็นครั้งแรก นี่เป็นสถานที่ที่พวกเราถูกดึงดูดเข้าสู่โลกแห่ง วายัง อมฤต”  

 

ติดตามอ่าน วายัง อมฤต ตอนก่อนหน้าได้ที่

ภาพประกอบ: Karin Foxx

FYI

เชิงอรรถ

 

หลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลงโดยที่กองทัพญี่ปุ่นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ฮอลันดาเคลื่อนพลเข้าปกครองอินโดนีเซียอีกครั้งหนึ่งในฐานะของเจ้าของอาณานิคมเดิม หากแต่ว่าการเคลื่อนพลครั้งนั้นได้รับการต่อต้านจากประชาชนผู้รักชาติจำนวนมาก มีขบวนการต่อต้านฮอลันดาปรากฏขึ้นทั้งในเกาะสุมาตรา ชวา สุราเวสี และที่ต่างๆ แต่ละขบวนการมีผู้นำที่แตกต่างไปทั้งทหาร พลเรือน และแม้แต่กรรมกร ชาวนา หรือพวกนอกกฎหมาย การต่อสู้เพื่อเรียกร้องอิสรภาพและเสรีภาพในการปกครองตนเองของชาวอินโดนีเซียดำเนินไปเป็นเวลาถึงสี่ปี นับตั้งแต่ปี 1945-1949 และสำเร็จผลลงโดยผู้นำสองคนท่ีดำเนินการรวบรวมการต่อสู้นั้นให้เป็นเอกภาพ คือ ซูการ์โน และ โมฮัมหมัด ฮัตตา ชื่อของผู้นำทั้งสองท่านนี้ภายหลังได้รับเกียรติตั้งเป็นชื่อสนามบินประจำนครจาการ์ตาอันเป็นเมืองหลวงของอินโดนีเซีย

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising