เคยไหมที่คุณรู้สึกว่าชีวิตกำลังหมุนติ้วราวกับเครื่องปั่น? งานก็รุมเร้า ชีวิตส่วนตัวก็เรียกร้อง แล้วเสียงเล็กๆ ในหัวก็กระซิบว่า “Work-Life Balance มันไม่มีจริงหรอก” แต่อย่าเพิ่งท้อ! ถึงใจจะเถียงแบบนั้น แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องยอมแพ้ต่อความคิดนี้นะ ลองมาดูกันว่าเราจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไรดี เริ่มจากการตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมเราถึงรู้สึกว่า Work-Life Balance เป็นไปไม่ได้ บางทีอาจเป็นเพราะเรากำลังวัดความบาลานซ์ด้วยมาตรฐานที่สูงเกินไป หรือไม่ก็กำลังเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นโดยไม่รู้ตัว
การหาจุดสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวอาจดูเหมือนเป็นความอยากได้ที่ทำให้เกิดขึ้นจริงได้ลำบาก แต่จริงๆ แล้วมันอาจเป็นเพียงเรื่องของการปรับมุมมองและวิธีคิดเท่านั้น บางครั้งเราอาจต้องก้าวถอยหลังเพื่อมองภาพรวมของชีวิต และตั้งคำถามกับตัวเองว่า อะไรคือสิ่งที่สำคัญจริงๆ สำหรับเรา การเรียนรู้ที่จะจัดการกับความคาดหวังของตัวเองและคนรอบข้าง รวมถึงการหาวิธีที่เหมาะสมในการแบ่งเวลาและพลังงานของเรา อาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขประตูสู่ชีวิตที่สมดุลและมีความสุขมากขึ้น มาลองสำรวจแนวคิดและวิธีการที่อาจช่วยให้เราเปลี่ยนมุมมอง และค้นพบว่า Work-Life Balance อาจไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมอย่างที่คิดกันเถอะ
หนังสือ Essentialism: The Disciplined Pursuit of Less ที่เขียนโดย Greg McKeown บอกเอาไว้ว่า “การทำน้อยลงแต่ดีขึ้นคือหนทางสู่การทำสิ่งที่สำคัญจริงๆ” นี่เป็นแนวคิดที่น่าสนใจมาก ลองนึกถึงสถานการณ์ที่คุณต้องทำรายงานส่งหัวหน้าพรุ่งนี้ แต่คุณก็มีธุระสำคัญต้องทำด่วนในเวลาเดียวกัน คุณอาจรู้สึกว่าต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งใช่ไหม? แต่จริงๆ แล้วการจัดลำดับความสำคัญอาจช่วยได้ บางทีคุณอาจขอเลื่อนเวลาส่งรายงานออกไปอีกนิด หรือทำงานให้เสร็จเร็วขึ้นโดยเน้นเฉพาะประเด็นสำคัญ เพื่อให้มีเวลาไปทำธุระสำคัญของตัวเองได้ด้วย
ลองปรับมุมมองใหม่ด้วยการนิยาม Work-Life Balance ในแบบของเราเอง อาจไม่ต้องแบ่งเวลาเป๊ะๆ 50-50 แต่เป็นการจัดลำดับความสำคัญให้เหมาะกับช่วงชีวิตของเรา บางช่วงอาจต้องทุ่มเทให้งานมากหน่อย แต่ก็ต้องไม่ลืมแบ่งเวลาให้ตัวเองและคนรอบข้างด้วย การสร้างขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยได้ ลองตั้งกฎง่ายๆ เช่น ไม่เช็กอีเมลหลังเวลาเลิกงาน หรือไม่ก็ปิดการแจ้งเตือนไปเลย แล้วใช้เวลานั้นหันมาทำอะไรที่เราชอบบ้าง
อย่างที่ Dr.Brené Brown นักวิจัยและนักเขียนชื่อดัง กล่าวไว้ในหนังสือ The Gifts of Imperfection ว่า “การพักผ่อนและการเล่นไม่ใช่รางวัลสำหรับการทำงานหนัก แต่มันเป็นส่วนสำคัญของชีวิตที่มีความหมายและมีความสุข” คำพูดนี้เตือนให้เราตระหนักว่า การพักผ่อนและการใช้เวลากับตัวเองก็สำคัญไม่แพ้การทำงาน มันช่วยชาร์จแบตให้เรากลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ลองนึกถึงวันที่คุณทำงานจนดึกแล้วตื่นมาพร้อมความเหนื่อยล้า ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง นี่อาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังละเลยการพักผ่อน ทางแก้อาจเป็นการกำหนดเวลานอนที่แน่นอน หรือหากิจกรรมผ่อนคลายทำก่อนนอน เช่น อ่านหนังสือ หรือฟังเพลงเบาๆ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้พักจริงๆ
นอกจากนี้ การสื่อสารกับคนรอบข้างก็สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรือครอบครัว ให้พวกเขารู้ถึงความต้องการและขีดจำกัดของเรา บางทีเราอาจพบว่าคนอื่นก็กำลังเจอปัญหาแบบเดียวกัน และอาจได้แลกเปลี่ยนวิธีจัดการที่ดีกันก็ได้ อย่าลืมว่า Work-Life Balance ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นกระบวนการที่ต้องปรับเปลี่ยนไปตามช่วงชีวิต บางวันอาจรู้สึกว่าทำได้ดี บางวันอาจรู้สึกว่ายังไปไม่ถึงไหน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก มันเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้และการเติบโต ที่สำคัญคือการไม่ยอมแพ้และพยายามหาสมดุลที่ใช่สำหรับตัวเราเอง เพราะในท้ายที่สุด ชีวิตที่มีความสุขและมีความหมายไม่ได้วัดกันที่ว่าเราทำงานหนักแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่าเรามีชีวิตที่เติมเต็มทั้งในด้านอาชีพและด้านส่วนตัวได้อย่างไรต่างหาก