ถ้าให้ลองนึกถึงนักแสดงสาวที่มีแพสชันเรื่องการออกกำลังกายอย่างแจ่มแจ้งและเป็นแรงบันดาลใจให้ใครต่อใครอีกมากมายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้แข็งแกร่ง ชื่อของ ‘ยิปซี-คีรติ มหาพฤกษ์พงศ์’ คงจะต้องติดท็อปในใจใครหลายคนอย่างแน่นอน
รูปร่างที่ลีนฟิตมีกล้ามสะท้อนถึงความใส่ใจในการดูแลตัวเองเต็มร้อยของสาวยิปซี จนเกิดกระแสเรียกร้องให้เธอเผยเคล็ดลับในการออกกำลังกายและการกินอยู่บ่อยๆ และหนึ่งในสิ่งที่เธอเปิดเผยจนกลายเป็นตำนานสั่นสะเทือนในหมู่สายสุขภาพก็คือ ‘สูตรมัฟฟินโอ๊ตพี่ยิป’ อาหารเช้าแสนง่ายที่เธอทำกินเองเป็นประจำจนเกิดเป็นธุรกิจ K. it’s klean ในปัจจุบัน
ทว่าเรื่องราวการเดินทางของผู้หญิงที่ใครต่างยกให้เป็นไอดอลเรื่องรูปร่างสุดฟิตสู่ซีอีโอแห่งธุรกิจเบเกอรีสุดคลีนที่เห็นนั้นมีเรื่องราวเบื้องหลังที่เกือบทำให้ไม่มี ‘ยิปซี คีรติ’ ในทุกวันนี้ อะไรคือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตของเธอ มาร่วมหาคำตอบไปกับ Passion Calling x Gypsy Keerati ได้แล้วที่นี่
อัปเดตชีวิตกันหน่อย ช่วงนี้ทำอะไรบ้าง
ตอนนี้ก็ทำยูทูบค่ะ น่าจะเต็มตัวแล้ว ซึ่งก็คือช่อง ‘ไหนเล่าซิ๊’ และ ‘ยิปย่อย’ ค่ะ
ไม่ได้ไปแตะงานแสดงเท่าไร?
พักก่อน (หัวเราะ) แต่ก็เป็นสิ่งที่เรายังชอบและอยากจะทำอยู่เสมอค่ะ แต่รอบทที่ท้าทายและบทที่เรายังไม่เคยเล่นค่ะ
มีในใจไหมว่าอยากรับบทแนวไหน
มี! (ตอบอย่างทันท่วงที) เราอยากลองเล่นเป็นตัวละครท่ีมีความไซโคพาธ (Psychopath) คิดว่าน่าจะสนุก เพราะตัวละครที่มีความซับซ้อนทางจิตจะมีวิธีการคิดที่ต่างออกไปจากคนจิตปกติ ตรงนี้เรายังไม่เคยลอง น่าลอง
เห็นรูปร่างยังฟิตอยู่ตลอดแบบนี้ ปัจจุบันมีไลฟ์สไตล์ในการออกกำลังกายอย่างไรบ้าง
หนึ่งในแพสชันของเราก็คือ เราชอบที่จะดูแลตัวเองในด้าน Aesthetic หรือรูปร่าง และสุขภาพด้วย เรายังคงอินกับเรื่องนี้อยู่ ยังดูแลตัวเองไปเรื่อยๆ แต่ก่อนอาจจะเป็นการคลั่งไคล้ลดน้ำหนัก จดจ่ออยู่ที่ตัวเลข บางช่วงก็อยากจะสร้างกล้าม บางช่วงก็อยากลีน บางช่วงก็ทดลองเรื่องอาหารการกิน แต่ช่วงนี้เหมือนการหาบาลานซ์ด้านสุขภาพจิต หาดูว่าการออกกำลังกายแบบไหนที่ไม่เฆี่ยนร่างกายของเราเกินไปจนทำให้เราเครียดหรือหมกมุ่นอยู่กับการออกกำลังกายและการกินทุกวัน แบบนั้นเราเคยผ่านมาแล้ว มันไม่เวิร์ก ช่วงนี้เลยใจดีกับตัวเองมากขึ้น และโฟกัสด้านสุขภาพมากกว่ารูปร่าง
แล้วก่อนหน้านี้อะไรที่จุดประกายให้เข้าสู่โลกของการออกกำลังกายแบบจริงจัง
จุดเปลี่ยนแบบครั้งใหญ่ที่ทำให้หันมาออกกำลังกายและดูแลสุขภาพขนาดนี้เป็นเพราะเมื่อก่อนเราเคยป่วยหนักมากจนเข้าโรงพยาบาล ด้วยการกระทำของเราเอง (หัวเราะ)
เราเป็นคนที่เกิดมาด้วยโครงกระดูกที่เล็ก ไม่ได้อ้วนง่าย ช่วงวัยรุ่นมีนิสัยการกินที่แย่มากๆ พอเรารู้ตัวว่าไม่ได้อ้วนง่ายเลยชะล่าใจ เลยกินอะไรก็ได้ที่ตามใจปากตัวเองสุดๆ โดยไม่คำนึงถึงโภชนาการใดๆ ซึ่งตอนนั้นสิ่งที่เลือกกินอยู่อย่างเดียวหลายปี และกินทุกมื้อคือ ‘ขนมถุง’ ถ้าพูดให้เห็นภาพคือขนมถุงร้านสะดวกซื้อ ไซส์กลาง ประมาณ 6 ถุงต่อมื้อเป็นอย่างน้อย และกินอยู่แบบนั้น 3-4 มื้อต่อวัน โดยไม่กินอาหารเลย!
จนสุดท้ายร่างกายก็ประท้วง เราจำไม่ได้ แต่พ่อเราบอกว่าเราล้มหัวฟาดพื้นในห้องน้ำ หน้าเขียว เรียกเท่าไรก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ พ่อก็อุ้มช้อนเราพาขึ้นรถโรงพยาบาล ปกติพ่อเราจะเป็นคนนิ่งๆ แต่วันนั้นเราสัมผัสได้เลยว่าเขามีความกลัวและกังวล เรารู้สึกอย่างแท้จริงว่าเราทำให้พ่อแม่เสียใจมากด้วยความเป็นห่วงจากพฤติกรรมของเราเอง ซึ่งมันทำให้เราครุ่นคิดแล้วว่า มันจะเป็นแบบนี้ไม่ได้ เพราะมันกระทบต่องานละครที่มีในช่วงนั้นด้วย
ตอนนั้นเราเพิ่งเริ่มเป็นนักแสดง เล่นละครเรื่องแรกก็ป่วยเลย เดี๋ยวก็เข้าโรงพยาบาล เป็นโน่นเป็นนี่ ซึ่งน่าจะมาจากร่างกายที่ไม่แข็งแรงของเราเอง แล้วกองละครกว่าจะเกิดได้มันต้องใช้ความร่วมมือจากบุคลากรเยอะมาก เพราะฉะนั้นการที่น็อตหรือจิ๊กซอว์ตัวหนึ่งหายไปมันจะฟังก์ชันไม่ได้ แล้วตอนนั้น เราดันเป็นจิ๊กซอว์ที่หายไป กองก็ล่มถ่ายไม่ได้ เราเลยรู้ว่าถ้าเรายังปล่อยให้ตัวเองมีนิสัยเสียๆ ต่อไป ไม่โอเคแล้วนะ
ในช่วงนั้นเลยศึกษาหาวิธีการกินและออกกำลังกายเองเลย?
ตอนนั้นพอคิดว่าจะเริ่มแล้ว เราก็งงตัวเองเหมือนกันนะ จากคนที่เสพติดจังก์ฟู้ดและผงชูรสเบอร์นั้น อยู่ดีๆ เราหักดิบเลย ช่วงที่อยู่โรงพยาบาลเราว่างเลยนั่งหาข้อมูลว่าการกินที่เฮลตี้เป็นอย่างไร แล้วตอนนั้นเป็นช่วงที่กินคลีนในเมืองนอกกำลังมา แต่ยังไม่เข้าไทย เราเลยศึกษาไปเรื่อยๆ และรู้สึกว่าน่าลอง ช่วงนั้นเลยอินเลย ต้มผักกินเอง ย่างปลากับน้ำมันมะกอก แต่ตอนนี้ไม่ทำแบบนั้นแล้วนะ (หัวเราะ)
รวมไปถึง ‘มัฟฟินโอ๊ตพี่ยิป’ ด้วย?
มัฟฟินโอ๊ตพี่ยิปเนี่ยเขามาหลังๆ ในช่วงโควิด ซึ่งเป็นตอนที่ขนมคลีนดังในบ้านเราแล้ว อาหารคลีนหากินได้ง่ายมาก เมื่อก่อนเราเป็นลูกค้าขนมคลีนตัวยงคนหนึ่ง เราซื้อเยอะไปหมด แต่อุปสรรคอย่างหนึ่งที่เคยเจอก็คือ 1. ทุกอย่างท่ีอยู่ในร้านคลีนส่วนใหญ่ราคาแพง 2. มันจะไม่ค่อยอร่อย หรือบางอันมันอร่อยจนน่าตกใจ พออันไหนอร่อยเราก็ซื้อแต่อันนั้น พอกินไปเรื่อยๆ มันทำให้เราอ้วนขึ้น เลยเริ่มมาดูว่าใส่อะไรลงไปเลยรู้ว่ามันมีการอุ๊บอิ๊บเรื่องส่วนผสมจริง เราเลยเลิกกินไป
เราอยากได้ของที่คลีนจริงๆ แต่ยังกินได้ ก็เลยลองทำมัฟฟินโอ๊ตขึ้นมา ปกติมื้อเช้าเราจะไม่ได้กินอาหารหนัก เราชอบกินพวกซีเรียล นม กราโนล่า โยเกิร์ต อะไรแบบนี้ แล้วมีช่วงหนึ่งที่เราอินกับการกินข้าวโอ๊ต ซึ่งมันจะเป็นแค่โอ๊ตใส่นมเข้าไมโครเวฟ ทำง่าย เร็ว อยู่ท้อง มีโปรตีนอยู่บ้าง กินไปกินมารู้สึกว่ามันเป็นมื้อเช้าที่เหมาะกับเรามาก คุมน้ำหนัก คุมความหิวได้
แต่มีบางวันที่รู้สึกว่าอยากกินขนมที่มีความหวานกว่านี้นิดหนึ่ง เลยลองปรับด้วยการใส่กล้วย ผงเบกกิ้งโซดาเข้าไป ไม่มีน้ำตาลหรือแป้งสาลี ใส่ถ้วยคนๆ เข้าไมโครเวฟ 3 นาที มันก็ออกมาเป็นมัฟฟินหนืดๆ เท็กซ์เจอร์เหมือนยางลบที่แบบ “เฮ้ย ชอบ!” แล้วเราก็กินทุกวันเป็นปี เสพติดถึงขั้นพกใส่กล่องไปถ่ายรายการ ไหนเล่าซิ๊ ซึ่งเป็นทริปดำน้ำกับเพื่อน เพื่อนก็สงสัยว่าพกอะไรมาเลยขอลองชิม แล้วพอดีช่วงนั้นมีคนที่ขอให้ทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการกินในแต่ละวัน เพื่อนเลยแนะนำให้ทำคอนเทนต์เกี่ยวกับยางลบที่กินทุกวัน…เพราะมันรู้ว่าเรากินทุกวันจริงๆ พอเราเล่าไป คนก็เลยเริ่มสนใจว่ามัฟฟินที่เรากินทุกวันมันทำอย่างไร ก็เลยเป็นที่มาของอีกคลิปที่เราทำขึ้นมา เป็นการเปิดสูตรมัฟฟินโอ๊ตพี่ยิป ซึ่งคนดูค่อนข้างเยอะมาก
เราบอกสูตรและวิธีการทำไปหมดแล้วก็มีคนเรียกร้องว่าทำขายหน่อย…(หัวเราะ) ทั้งๆ ที่มันทำง่ายมาก แต่ช่วงนั้นเราว่างและย้ายบ้านด้วย บ้านมีเตาอบ เราเลยเอาสูตรเดิมมาลองใส่เตาอบ ปรากฏว่า…อร่อยกว่าเดิมจนตกใจ! เราเลยเอาไปให้เพื่อนชิม เพื่อนก็ฟีดแบ็กว่าไม่ยางลบแล้ว อร่อยแบบขายได้เลย ช่วงนั้นเราเลยอบให้คนใกล้ตัวชิม พอคนรอบข้างบอกอร่อยเราก็รู้สึกฮึกเหิม เราเลยลองถ่ายรูปมัฟฟินที่ทำแล้วโพสต์ลงอินสตาแกรมเพื่อเช็กดูว่ายังมีคนสนใจอยู่ไหม ปรากฏว่าคนรอซื้อเยอะมาก เรารู้สึกมีกำลังใจเลยตัดสินใจลองทำเลย
เลยเป็นที่มาของ K. it’s klean?
ใช่ค่ะ วันแรกที่เปิดรับออร์เดอร์คือแบบ…โห ตื่นเต้น ดีใจมาก ใจหนึ่งเราก็ลุ้นแหละมันจะมีคนซื้อจริงๆ ไหม หรือพอซื้อแล้วคนอื่นจะอร่อยกับเราไหม ตอนนั้นเราเป็นคนอบคนเดียวทั้งหมด เราทำทุกกระบวนการเอง ไปซื้อกล้วย ผสมเอง แปะสติกเกอร์ หาแพ็กเกจจิ้ง เมื่อก่อนมันไม่ได้อยู่ในถ้วยกระดาษด้วยนะ เราใช้เป็นถาดเหล็กหลุมใส่มัฟฟิน แต่มันมีอุปสรรคตรงที่เราต้องมานั่งแงะในหลุมทีละก้อน บางทีแงะแล้วมันไม่สวยชิ้นนั้นเสียไปเลยก็มี หรือแงะเสร็จก็ต้องมาล้างถาดทุกหลุมอีก เป็นอะไรที่ทรมานมาก หลังๆ เลยเรียนรู้ที่จะใช้ถ้วยกระดาษแทน
ช่วงแรกมีแค่น้องแอดมินกับเราในบริษัท ล็อตแรกเราทำมาแค่ 200 ชิ้นมากสุด เลยบอกว่าใครที่สนใจก็ให้ไลน์มาสั่งวันพุธเวลา 9 โมง ปรากฏพอ 9 โมงวันพุธปั๊บ โห…ไลน์เด้งแบบไฟลุก เราดีใจน้ำตาจะไหลจริงๆ เราดีใจจริงๆ ที่มีคนสนใจของๆ เรา เราไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปนานแค่ไหน แต่วันนั้นมันเป็นความรู้สึกใหม่ที่พิเศษ และมันทำให้เรามีความสุขมากจริงๆ และน้องแอดมินเองก็มีความรู้สึกกับเราด้วย
เคยมีคนใกล้ตัวเสนอนะว่าให้ลองทำเมนูอื่นๆ บ้าง อย่างคาราเมลคอร์นเฟล็ก เค้ก โชกุปัง คุกกี้ เราเคยเปิดใจลองทำบางอย่างนะ แต่เรารู้สึกว่าสุดท้ายเราอยากจะขายในของท่ีเรากินจริงเท่านั้น และสื่อถึงตัวตนของเราอย่างแท้จริง และอีกประเด็นคือเราเคยได้ยินจากแฟนเรา (Nicholas Haw) คือเขามีโอกาสได้ไปไต้หวันแล้วเห็นหลายร้านค้าขายของอยู่ไม่กี่อย่าง เขาเลยบอกเราว่า บางทีมันอาจไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องขายของหลายชิ้น แต่ถ้าเจอสิ่งที่ชอบ มั่นใจ แล้วทำมันให้ดี มันอาจจะดีก็ได้ เราเลยรู้สึกว่า “งั้นฉันจะขายมัฟฟิน!”
“ทุกอย่างที่อยู่ในร้านของ K. it’s klean ต้องเป็นสิ่งที่เรากินจริงๆ เท่านั้น”
วันแรกที่เปิดร้านกับวันนี้ เป็นไปตามที่ตั้งใจไหม
(หัวเราะ) พูดตามตรงแบบไม่โลกสวย ทุกธุรกิจมันมีวันขึ้นลง ช่วงแรกขายดีมาก ขายหมดในไม่กี่นาที หลังๆ มันก็จะซาลง บางเดือนก็แอบน่าหดหู่จนทำให้เราต้องคิดว่า “หรือเราจะหยุดดี? หรือคนเบื่อแล้ว?” เพราะมันถือเป็นอาชีพที่สองที่เป็นงานอดิเรกของเรา แต่เราก็เชื่อมั่นในหลักการของเราแล้วว่าเราอยากทำประมาณนี้ และมันก็เป็นความโชคดีด้วยที่นี่ไม่ใช่อาชีพหลักของเรา แต่มันคืองานที่สองที่สร้างรายได้ให้เราเพิ่มและสร้างความสุขด้วย
พอมาถึงจุดที่ตัดสินใจว่าจะไปต่อไหม เราเลยมีพริวิลเลจมั้งว่าเราเริ่มทำเพราะอะไร ใช่เงินหรือเปล่า คำตอบก็คือ “ไม่ใช่นี่ ไม่ใช่จะหาเงินเพิ่ม” เราทำตอนนั้นเพราะว่าเราอยากให้คนอื่นกินของที่เราเอ็นจอย เราแค่อยากทำเพราะว่าของที่คลีนจริงๆ แบบไม่โกหกผู้บริโภค และมีความอร่อยด้วย มันควรมีอยู่ในตลาด เพราะเราเองก็หาอยู่ และในเมื่อวันนี้เราเป็นคนทำให้เกิดขึ้นได้ เรากล้าพูดได้เลยว่าคลีน 100%
ที่ผ่านมามีโดนก๊อบด้วย แต่เราไม่มีปัญหากับการที่มีคนมาทำตาม เพราะเราก็เคยให้สูตรไปทำเองแล้ว มันง่ายมาก แต่มันมีคนก๊อบตัวแบรนด์ ทั้งฟอนต์ อะไรต่างๆ เหมือนมาก แต่เราก็มูฟออน และคิดเสียว่าสิ่งที่เราทำมันต้องดีประมาณหนึ่งแหละ ไม่อย่างนั้นไม่มีใครอยากทำตาม (หัวเราะ)
อีกประเด็นที่สำคัญมาก คือเราระบุชัดเจนแต่แรกสำหรับคนที่จะมาทำงานกับเราว่า ให้เข้ามาทำงานกับเราแค่ 2 วัน แล้วให้ทำงานอย่างอื่นหรือเรียนไปด้วย เราอยากให้น้องที่มาทำงานด้วยมีอิสระในการใช้ชีวิต บางทีชีวิตที่มันดีเดี๋ยวนี้มันอาจไม่ใช่เงินเสมอไป เราอาจจะคิดแทนเขาก็ได้นะ บางทีงานที่ให้เงินเดือนสูงๆ แต่เราติดในที่ที่นั้นทุกวันด้วยจิตใจที่ไม่มีความสุข เป็นเราเราก็อาจไม่อยากทำก็ได้ เราเลยอยากสร้างโอกาสงานที่เป็นไปด้วยความยืดหยุ่น อยากให้เขาทำกับเราแล้วสบายใจ มีความสุข และได้เงินด้วย ซึ่งเงินก็ไม่น้อย (หัวเราะ)
ซึ่งปัจจุบันเรามีลูกน้องสองคน ทั้งสองก็เป็นเหมือนน้องของเรา ถ้าเกิดว่าเดือนไหนรายได้กับรายจ่ายมันเท่ากัน แต่เรายังพอที่จะจ่ายค่าเช่า วัตถุดิบ และเงินเดือนให้น้องสองคนได้ เราโอเค เรายังทำต่อ วันไหนที่เราต้องควักเนื้อ ถ้ามันนิดเดียวก็ยังได้ เพราะยังมีน้องสองคนยังได้รายได้ตรงนี้อยู่ และมีลูกค้าที่ได้กินของที่เขาอยากกิน แต่ถ้ามันถึงขั้นเฉือนแขนเราก็คงต้องหยุด
มีมุมมองอย่างไรกับอาชีพที่สองในสังคมสมัยนี้
เราซัพพอร์ตมากๆ เลย ถ้ามีโอกาสทำได้ทำไปเถอะ บางทีมันอาจไม่ใช่แค่เรื่องเงินอย่างเดียว แน่นอนเรื่องเงินมันดีอยู่แล้ว แต่บางทีบางคนอาจจะมีงานที่สองเพื่อมาเติมเต็มใจตัวเองก็ได้ มันอาจสร้างคุณค่าทางจิตใจในด้านอื่น
สิ่งที่ได้เรียนรู้จาก K. it’s klean คืออะไร
ข้อแรก อย่ายึดติดกับคอมฟอร์ตโซน นี่ไม่มีความฝันเกี่ยวกับการอบขนมหรือมีเบเกอรีของตัวเอง ไม่เคยคิดว่าตัวเองทำได้ด้วย แต่อยู่ดีๆ มันก็เกิดขึ้น และมันก็เกิดขึ้นมา 2 ปีแล้ว เรื่องราวที่ผ่านมามันให้อะไรกับชีวิตเราเยอะนะ ประสบการณ์ ความสุข ได้ให้ความสุขคนอื่นด้วย ถ้าวันนั้นเราติดอยู่กับคำว่า ฉันไม่ได้เรียนเบเกอรีมา หรือ อุ๊ย! ขนมง่ายๆ แบบนี้ใครก็ทำได้ เราไม่ต้องทำหรอกเดี๋ยวคนอื่นก็ทำกินเอง อะไรก็ตามที่กักตัวเองไว้ในกรอบเดิม ก็จะไม่มีวันนี้ที่เรามาเล่าเรื่องนี้อยู่ เรารู้สึกดีใจที่วันนั้นเราทำแบบนั้น
ข้อสองก็คือ มันไม่มีอะไรดีไปตลอด และไม่มีอะไรแย่ไปตลอดเหมือนกัน วันที่เคยขายได้ดีมากๆ รู้สึกดีมากๆ วันนั้นก็ดีใจกับมัน วันที่ขายแทบไม่ได้เลยก็เสียใจแต่ก็ไม่เป็นไร ยังมองหาจุดดีที่ทำให้เรายังรู้สึกดีกับเขาอยู่ได้ หรือในวันที่เราโดนก๊อบแล้วรู้สึกเฟลมากๆ คือมันจะมีวิธีคิดที่มองมันในด้านดีได้ การได้ฝึกคิดบวกในสถานการณ์ลบมันก็สนุกนะ
อยากบอกอาชีพที่สองของเราตอนนี้ว่า รู้สึกดีใจนะที่เราได้มาเจอกัน เป็นประสบการณ์ที่ดีค่ะ
ภาพ: ปวรุตม์ งามเอกอุดมพงศ์
K. it’s klean
มัฟฟินโอ๊ตพี่ยิป ปัจจุบันมี 7 รส ได้แก่ Original, Dark Choc Chip, Peanut Butter Walnut, Double Choc, Purple Potato, Coconut, Cranberry
Instagram: https://www.instagram.com/k.its.klean/
Special Thanks: Sarnies Sukhumvit 31
Map: