ในที่สุดรัฐบาลก็มีมาตรการผ่อนคลายให้ห้างสรรพสินค้าสามารถกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในวันที่ 17 พฤษภาคมนี้ หลังจากต้องปิดชั่วคราวเพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19 มาตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา หนึ่งในธุรกิจที่น่าจับตามองว่าจะปรับตัวอย่างไรคือบรรดาร้านอาหารที่จะสามารถกลับมาเปิดในลูกค้านั่งกินในร้านได้อีกครั้ง
ประพัฒน์ เสียงจันทร์ รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีแบรนด์ชื้อคุ้นหูอยู่ในมืออย่าง The Pizza Company, Swensen’s, Sizzler, Dairy Queen, Burger King, The Coffee Club และ BonChon ให้ข้อมูลกับ THE STANDARD ว่าช่วงที่ผ่านมามีร้านอาหารในเครือต้องปิดชั่วคราว 500 สาขา จากทั้งหมด 1,500 สาขา
ยอดขายในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเดือนที่ไม่สามารถเปิดให้กินในร้านได้ตามปกติกระทบกับธุรกิจพอสมควร เพราะบางแบรนด์ยอดขายหลักมาจากการกินในร้าน 70-80% ทำให้บางแบรนด์ยอดขายหายไปมากถึง 70% ขณะที่บางแบรนด์ยอดขายหายไป 20-30% ก็มี
แต่มีอยู่ 3 แบรนด์หลักที่เรียกว่าไม่ค่อยได้รับผลกระทบมากนัก ได้แก่ The Pizza Company ยอดขายทรงตัว ไม่ได้ตกลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนอกจากการทำโปรโมชัน 1 แถม 1 แล้วยังมอบการจัดส่งฟรี ซึ่งเป็นโปรโมชันที่ไม่เคยทำมาก่อน รวมๆ แล้ว 2 เดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา ต้นทุนค่าส่งที่รับผิดชอบเองอยู่ราวๆ 20 ล้านบาท
ส่วนอีก 2 แบรนด์คือ BonChon และ Burger King ก็ได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากมีช่องทางขายที่หลากหลาย โดยเฉพาะ Burger King ที่มีครบในทุกทาง ทั้งซื้อกลับบ้าน เดลิเวอรี และไดรฟ์ทรู ส่วนอีกแบรนด์ที่ยอดขายฟื้นตัวเร็วกว่าแบรนด์อื่นๆ คือ Dairy Queen เนื่องจากสินค้ามีราคาที่ไม่สูงมาก
สำหรับการจะกลับมาเปิดให้บริการในศูนย์การค้าอีกครั้ง ประพัฒน์ยอมรับว่า “ไมเนอร์ ฟู้ด ไม่สามารถประเมินได้อย่างชัดเจนเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ แต่ที่แน่ๆ ไม่มีอะไรเหมือนเดิมแน่นอน”
หนึ่งใน New Normal ที่เห็นได้แน่ๆ ในช่วงแรกคือพฤติกรรมที่มองการกินข้าวอยู่บ้านเป็นเรื่องปกติ เพราะทุกวันนี้ส่วนใหญ่ทำงานจากที่บ้านกันอยู่แล้ว ซึ่งให้ความรู้สึกว่าทุกวันคือวันทำงาน ไม่มีหยุด จึงไม่ได้ตื่นเต้นกับวันหยุด และไม่ได้โหยหาที่จะต้องออกมากินในศูนย์การค้าเหมือนที่ผ่านๆ มาที่ต้องไปต่อคิวในวันเสาร์-อาทิตย์ หน้าร้านจะเต็มไปด้วยลูกค้าที่รอ
ปกติแล้วยอดขายในวันหยุดจะเพิ่มจากวันธรรมดา 30-40% แต่ตอนนี้เพิ่มขึ้นเพียง 20% เท่านั้น ซึ่งมาจากเหตุผลข้างต้น ส่วนวันธรรมดายอดขายลดลงด้วยซ้ำ เนื่องจากมาตรการเคอร์ฟิวทำให้ระยะเวลาในการขายอาหารสั้นลง เช่น Burger King ก็ไม่สามารถขายได้ 24 ชั่วโมง หรือ The Pizza Company ที่เดิมที่ขายถึงเที่ยงคืน กลายเป็นว่าออร์เดอร์สุดท้ายรับแค่ 2 ทุ่ม
เมื่อถามว่าร้านที่อยู่ในศูนย์การค้าจะกลับมาเปิดทั้งหมดหรือไม่ ประพัฒน์ระบุว่า “เราจะกลับมาเปิดเฉพาะร้านที่มีกำไรเท่านั้น” เนื่องจากบางร้านที่มีลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวด้วยสัดส่วน 70-80% ในเมือง เช่น ภูเก็ต ก็ต้องปิดไปก่อน เพราะลูกค้าไม่มี ส่วนร้านที่เหลือก็ต้องประเมินด้วยปัจจัยอื่นๆ
“เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเมื่อห้างเปิดแล้วลูกค้าจะกลับมาหรือไม่ หลายคนยังมีความกังวลด้านความสะอาด แม้ห้างหรือร้านอาหารจะออกมาตรการต่างๆ ก็ตาม ตลอดจนมาตรการจำกัดคนใช้งานห้าง ต้องรอคิวเข้าใช้บริการ และมีการจำกัดเวลาลูกค้าจะโอเคไหม”
ขณะเดียวกัน จำนวนโต๊ะที่จะให้บริการลูกค้าจะหายไปอย่างน้อย 50% นี่ถือเป็นต้นทุนที่ธุรกิจต้องแบกรับ เพราะถ้าต้องรับลูกค้าน้อยลง แต่ต้องจ่ายค่าเช่าในราคาเท่าเดิม ธุรกิจร้านอาหารอยู่ไม่ได้แน่นอน อีกทั้งการระบาดของโควิด-19 สร้างผลกระทบกับทุกคน เงินในกระเป๋ามีไม่เท่าเดิม ฉะนั้นการจับจ่ายแบบเดิมน่าจะไม่เห็นในเร็ววันนี้ ลูกค้าย่อมต้องการประหยัด
แต่อย่างไรก็ตาม ไมเนอร์ ฟู้ด ก็พร้อมที่จะกลับมาเปิดร้านอาหาร ซึ่งได้เตรียมมาตรการต่างๆ ไว้หมดแล้ว ทั้งพนักงานจะต้องสวมถุงมือ หน้ากากอนามัย และวัดอุณหภูมิก่อนทำงาน มีการทำความสะอาดเมนูทุกครั้งหลังใช้ เช็ดทำความสะอาดโต๊ะ ตลอดจนทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเข้มข้นทุกครั้งหลังปิดร้าน
ส่วนมาตรการ Social Distancing ทำให้ต้องจำกัดการเข้าร้าน โดยจะมีการใช้ระบบรอคิวของ QQ ซึ่งใช้ไปบ้างแล้ว และบางแบรนด์ต้องปรับธุรกิจใหม่ เช่น Sizzler ที่ต้องปิดสลัดบาร์ไปก่อนจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น แต่ยังมีให้บริการเหมือนเดิม โดยจะเปลี่ยนมาให้ลูกค้าสั่งทีละจานแทน เป็นต้น
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
ห้ามพลาด! ฟอรัมที่เจาะลึก New Normal ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย จากวิทยากรระดับประเทศ 40 คน ซื้อบัตรงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM ที่ https://www.eventpop.me/e/8705-economic-forum