H_____ Dining บ้านหลังใหม่ของ Hands and Heart ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและเมนูอร่อย

หากใครยังจำร้าน Hands & Heart คาเฟ่มินิมัลแห่งแรกๆ ของกรุงเทพฯ ได้ วันนี้เขาเติบโตขึ้น และได้ขยับขยายพื้นที่ออกไปสู่บ้านใกล้เรือนเคียงไม่ไกลจากที่เดิมนัก ในซอยแสงชัย สุขุมวิท 38 และก็ช่างบังเอิญที่หนึ่งในลูกค้าประจำมีบ้านเก่าในละแวกซอย 38 ได้ยื่นข้อเสนอให้กับ Hands & Heart ในขณะที่ทางร้านกำลังหาโลเคชันใหม่ขยายร้านอยู่พอดี จนเกิดเป็น H_____ Dining (เอช ไดนิ่ง)

บรรยากาศร่มรื่นของร้าน

บ้านเดี่ยวสองชั้น รายล้อมด้วยต้นมะม่วงบรรยากาศร่มรื่น ได้รับการปรับปรุงซ่อมแซม และตกแต่งเพิ่มเติมให้กลายเป็นคาเฟ่ ร้านอาหาร และเนเชอรัลไวน์บาร์ โดยรวมร่าง Hands & Heart และ The Rose Natural Wine เข้าด้วยกัน ทำให้ที่นี่ไม่ได้มีแค่กาแฟเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเมนูอาหารเช้าและเย็นจากเชฟต้อยติ่ง-กานต์ตา สิทธิธรรม เชฟมากฝีมือผู้เคยทำงานอยู่ร้านอาหารมิชลินสตาร์ทั้งในไทยและต่างประเทศ

นี่ยังไม่รวมถึงเพื่อนบ้านร้านฮอตด็อกกับบาร์ที่ตั้งอยู่หน้าสวนม้าหินด้านหน้ามาเสริมทัพ ทำให้พื้นที่แห่งนี้มีทั้งความอบอุ่น ครึกครื้น และสนุกสนานตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้ายันค่ำด้วย

บรรยากาศที่เปลี่ยนจากมินิมัลมาเป็นโฮมมี่ยิ่งขึ้น

The Vibe

จากเดิมที่เป็นคาเฟ่เล็กๆ สไตล์มินิมัล ตกแต่งและทาสีโทนขาวดำ มาที่บ้านหลังใหม่กลับเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์และสีโทนอบอุ่น สร้างความผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเล็ก โต๊ะยาว หน้าบาร์ หรือห้องกินข้าว จะเลือกนั่งตรงไหนก็รู้สึกสบายเหมือนอยู่บ้านจริงๆ แถมยังได้แสงสวยจากแดดธรรมชาติตลอดทั้งวัน

เมื่อโตขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น และได้บ้านใหม่ที่กว้างขึ้น แค่ Hands & Heart ชื่อเดิมคอนเซปต์เดิมดูจะไม่เพียงพออีกต่อไป และ H_____ Dining นี้จึงเกิดขึ้น H ที่ตามด้วยเส้นใต้ขีดยาวๆ จึงไม่ได้มีความหมายแค่ Hands & Heart แต่อาจจะเป็นได้ทั้ง Happiness, Home, Humble และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย

The Dishes

เรื่องกาแฟเราคงไม่ต้องพูดเยอะ เพราะการันตีรสชาติและคุณภาพจาก Hands & Heart Coffee Roasters ส่วนไวน์ลิสต์ แน่นอนว่ายังคงมาธีมเดียวกับ The Rose Natural Wine Bar เพราะฉะนั้นจึงมีแค่เนเชอรัลไวน์เท่านั้นที่จะถูกเสิร์ฟในร้านนี้ ส่วนเรื่องอาหารก็ได้เชฟต้อยติ่งผู้เคยอยู่หลังครัวร้านอาหารมิชลินสตาร์หลายร้านทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งเธอชำนาญเรื่องการนำวัตถุดิบมาทวิสต์ให้มีกลิ่นอายและรสชาติอย่างเอเชีย

ขนมปังสดใหม่และสลัดผักหน้าตาโฮมมี่

Our Mixed Salad (180 บาท) รวมผักคาแรกเตอร์เด่นไว้ในจานเดียว มะเขือเทศ บีทรูท และหอมใหญ่ แต่ไม่ใช่แค่นำมาหั่น ราดเดรสซิ่งแล้วจบ เริ่มจากมะเขือเทศเชอร์รีที่ใช้ของออร์แกนิกส่งมาจากไร่ที่เชียงใหม่ ตามด้วยบีทรูทรมควันไม้ยูคาลิปตัสและก้านห่อวอ (Lemon Verbena) ส่วนหอมใหญ่ผ่านการสโลว์คุกจนเนื้อนุ่มนิ่มกินง่ายขึ้นกว่าเดิม จากนั้นโรยผงชาเขียวผสมพริกลาบ เพิ่มความหอมละมุน และใส่วิปครีมอบควันเทียน ตามด้วยเดรสซิ่งที่ทำจากน้ำสต๊อกหมู จะสั่งไว้กินตัดรสชาติอาหารจานอื่นหรือรองท้องเบาๆ ระหว่างรอจานหลักก็ได้

เมื่อพูดถึงมะเขือม่วง หลายคนอาจเบือนหน้าหนี แต่ก่อนที่จะยี้ เราอยากให้คุณมาลองมะเขือม่วงสูตรเชฟต้อยติ่ง Roasted Eggplant with Chili Sauce (160 บาท) เมนูนี้อร่อยแบบไร้เนื้อสัตว์ มะเขือม่วงอบจนเนื้อฉ่ำแต่ยังคงความกรอบที่ผิวนอก ท็อปด้วยซอสมิโซะพริกเผาให้รสอูมามิกันแบบเต็มๆ ตามด้วยก้อนชีสเบิร์นไฟอ่อนๆ ที่เชฟได้มาจากฟาร์มนมวัวในจังหวัดชุมพร กินเพลินจนหมดจานแบบไม่รู้ตัวแน่นอน

ปลาทูทอดหอมกินกับคะน้ากรอบๆ และเมนูใหม่ไร้ชื่อของเชฟต้อยติ่ง

เมนูนี้อาจจะดูแปลกตา แต่เมื่อได้ชิมแล้วจะแปลกใจ Thai Mackerel with Brown Butter Kale (220 บาท) ปลาทูทอดเลาะก้างออกทั้งตัว เสิร์ฟเคียงกับผักเคล (คะน้าใบหยัก) ที่เรามักจะเห็นในชามสลัดตามร้านอาหารเมืองนอก ซึ่งผักเคลนี้เชฟต้อยติ่งนำไปผัดกับบราวน์บัตเตอร์ ซึ่งเบสด้วยซอสถั่วเหลืองกับมะนาว ผิวผลไม้ซิตรัส และรากผักชี กินแล้วได้อารมณ์คะน้าปลาเค็มกลายๆ แต่ไม่คาวหรือเค็มแหลมเลยแม้แต่นิดเดียว

จานนี้ยังไม่มีชื่อเรียก เชฟต้อยติ่งทำมาให้ลอง และกำลังจะถูกเพิ่มเข้าดินเนอร์เมนูเร็วๆ นี้ เป็นเนื้อใต้ซี่โครง (Short Rib) เชฟนำไปสโลว์คุกกับน้ำมันกระเทียม แล้วราดด้วยพอร์คจูส์ ข้าวคั่ว และเปลือกส้มจี๊ด ให้ฟีลกินน้ำตกอะไรอย่างนั้น ตัดเลี่ยนด้วยแตงกวาญี่ปุ่นดองฝานบางๆ กินสลับกับเนื้อแล้วเวิร์กมาก และถ้าไม่บอกว่านี่คือเนื้อไทยเราก็แทบไม่เชื่อว่าคุณภาพจะออกมาดีและนุ่มลิ้นได้ถึงปานนี้

พาสต้ากุ้งซอสเสาวรสกับผักแพว

ซุปข้นหรือบิสก์ ลำพังเพียงแค่ซุปอย่างเดียวกินกับขนมปังก็อาจไม่ถูกจริตคนไทย เพราะมันเลี่ยนและค่อนข้างเค็ม ที่ H_____ Dining จึงทวิสต์ลงบนพาสต้าจนเกิดเป็น Prawn Bisque Pasta (380 บาท) พาสต้ากุ้งซอสเสาวรสกับผักแพว เส้นลิงกวินีผัดสต๊อกหัวกุ้งจนรสเข้มข้นซึมเข้าเส้น จากนั้นค่อยราดซอสเสาวรสกับผักแพวที่เชฟต้อยติ่งบรรจงทำขึ้นเพื่อตัดความเลี่ยนจากกุ้งและเพิ่มรสเปรี้ยวหวานให้กับเส้น ไม่เพียงเท่านั้นยังมาพร้อมกุ้งขาวตัวใหญ่อีกด้วย

เมนคอร์สของคนรักผัก

เมนคอร์สที่เป็นผักล้วนสำหรับคนรักสุขภาพหรือไม่อยากรับประทานอะไรที่หนักเกินไป เราแนะนำ Roasted Cauliflower, Kale, Goat Cheese Yoghurt (240 บาท) ดอกกะหล่ำย่างกับชีสนมแพะจากลำปาง กินกับผักเคล อัลมอนด์ ทับทิม และข้าวคั่ว ด้านล่างจานมีซอสถั่วเหลืองผสมซอสพริกศรีราชาให้จิ้มกินเพิ่มรสชาติ ถึงจะเป็นเมนูผักแต่รับประกันว่าอิ่มท้องแน่

และดังที่เล่าไปว่า H_____ Dining คือส่วนผสมของหลายสิ่งอย่าง และถ้าจำกันได้ The Rose Natural Wine Bar ที่ Hands & Heart ยามค่ำคืน เต็มไปด้วยเนเชอรัลไวน์หลายเลเบลจากทั่วโลก และแน่นอนว่าทางร้านได้นำเนเชอรัลไวน์มาทำเป็นของหวานด้วย อย่างจานนี้ Cheese & Wine (260 บาท) โดยปกติตามธรรมเนียมฝรั่งมักจะตบท้ายดินเนอร์ด้วยของหวาน หรืออาจจะเป็นชีสแพลตเตอร์กับไวน์ ซึ่งเชฟต้อยติ่งจัดการขมวดของหวาน ชีส และไวน์ให้อยู่ในจานเดียว ไอศกรีมชีสพาร์เมอจาร์โนสัมผัสละมุน ราดน้ำผึ้งป่าจากหมู่บ้านหินลาดใน โรยกะหล่ำม่วงดองกับชีสขูด ส่วนซอสข้นๆ ด้านล่างเป็นเนเชอรัลเรดไวน์รีดักชัน เนื่องจากทางร้านขายไวน์ทั้งแบบ By Bottle และ By Glass ซึ่งหากเปิดไวน์ By Glass แล้ว ก็มักจะเหลือไวน์ก้นขวดอยู่เสมอ ครั้นจะเททิ้งก็น่าเสียดาย เชฟต้อยติ่งจึงจัดแจงนำไวน์ก้นขวดเหล่านั้นมาทำเป็นรีดักชันประกอบของหวาน เป็นการใช้ไวน์ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

ขนมหวานจากเมล็ดกาแฟ

‘H’ Blend Parfait (240 บาท) ขนมอีกตัวที่นำคาแรกเตอร์ของเมล็ดกาแฟจาก Hands & Heart Coffee Roasters มาทำเป็นพาร์เฟต์ไอศกรีม โดยใช้เมล็ดกาแฟซิงเกิลออริจินจากดอยสะเก็ด นำมาผ่านขั้นตอนพิเศษให้ไอศกรีมมีสีขาวเนียน จับคู่กับทอฟฟี่เค้ก ซอลต์อัลมอนด์พราลีน และแผ่นแป้งวีทวาฟเฟิล เคี้ยวเพลิน รสหวานนิด ขมหน่อย แถมความมันๆ เค็มๆ ที่มาจากถั่ว ปิดท้ายมื้อแบบฟูลคอร์ส ครบครันตั้งแต่ผัก ซีฟู้ด เนื้อ คาร์บ ของหวาน ชีส ไวน์ และกาแฟ