หากคุณรู้สึกเบื่อหน่ายกับงาน หมดพลังในการเข้าสังคม หรือหงุดหงิดง่ายขึ้นในที่ทำงาน อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเป็นอาการ ‘เบิร์นเอาต์’ หรือ ‘หมดไฟ’ เพราะอาจมีตัวการร้ายอีกตัวที่แอบซ่อนอยู่เบื้องหลัง
Adam Grant นักจิตวิทยาองค์กรจาก Wharton และผู้เขียนหนังสือขายดี ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง Chief Worklife Expert ที่ Glassdoor เผยว่า ภาวะที่เรียกว่า ‘Boreout’ หรือ ‘ความเบื่อจนหมดแรง’ กำลังกลายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่รูปแบบการทำงานแบบรีโมตและไฮบริด
“เมื่อคุณเบิร์นเอาต์ คุณจะรู้สึกเหนื่อยล้าจากงานที่มากเกินไป ถูกกดดันจากทุกทิศทาง และแบกรับภาระหนักเกินกำลัง” Grant อธิบาย “แต่เมื่อคุณเกิดภาวะ Boreout คุณจะรู้สึกว่างานไม่ท้าทายและน่าเบื่อ”
การทำงานอย่างเดิมซ้ำๆ เป็นเวลานาน ไม่มีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ ไม่เห็นความหมายในงานที่ทำ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้มืออาชีพรู้สึกเบื่อและไม่เติมเต็ม Grant กล่าวเสริม
ผลสำรวจของ Gallup ในปี 2024 พบว่า ประมาณ 80% ของคนทำงานในสหรัฐฯ ชื่นชอบการทำงานแบบรีโมตหรือไฮบริดหากเป็นไปได้ แต่การขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกลับเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด ขณะที่ 30% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า การประชุมเสมือนจริง ‘มีประสิทธิภาพน้อยกว่า’ การประชุมแบบพบหน้ากัน
รายงาน State of Hybrid Work ปี 2024 ของ Owl Labs ซึ่งสำรวจคนทำงานเต็มเวลา 2,000 คน พบว่า 27% ของมืออาชีพในสหรัฐฯ ทำงานในรูปแบบไฮบริดและ 11% ทำงานแบบรีโมต เปรียบเทียบกับ 26% และ 7% ตามลำดับในปีก่อนหน้า ข้อมูลจาก World Economic Forum คาดการณ์ว่างานดิจิทัลจะเพิ่มขึ้น 25% ภายในปี 2030
Grant มองว่าเมื่อการมีปฏิสัมพันธ์แบบพบหน้ากันในที่ทำงานลดลงอย่างต่อเนื่อง เราจะเห็นกรณีของ Boreout เพิ่มมากขึ้น
“ผู้คนดูไร้ชีวิตชีวาในการประชุมออนไลน์” เขากล่าว “พวกเขาไม่ได้แสดงอาการของความเบิร์นเอาต์ แต่กลับรู้สึกว่า ‘การประชุมนี้ไม่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ฉันเลย ฉันไม่สนใจบทสนทนานี้สักนิด’ พวกเขาเหมือนคนที่นั่งอยู่แต่จิตใจลอยไปที่อื่น นี่เป็นปัญหาสำคัญที่เราต้องแก้ไข”
อย่างไรก็ตาม ทั้งหัวหน้าและพนักงานสามารถช่วยปรับปรุงขวัญกำลังใจเมื่องานเริ่มรู้สึกน่าเบื่อและไม่น่าสนใจได้
เริ่มต้นจากผู้นำที่ควรผ่อนคลายข้อกำหนดในการประชุมเสมือนจริง Grant แนะนำ การบังคับให้พนักงานเปิดกล้องหรือใช้พื้นหลังเฉพาะ เป็นต้น สามารถทำลายความสนุกในการทำงานร่วมกันและเพิ่มความเหนื่อยล้าของพนักงาน ตามที่งานวิจัยชี้ให้เห็น
แทนที่จะทำเช่นนั้น หัวหน้าสามารถส่งเสริมการทำงานร่วมกันแบบเป็นธรรมชาติมากขึ้นเป็นครั้งคราว ให้พนักงานมีส่วนร่วมในการสนทนาตามวิธีที่พวกเขารู้สึกสบายใจที่สุด รวมถึงการปิดกล้องหรือแม้แต่การตอบในแชต
“สิ่งที่พวกเขาไม่ตระหนักคือกำลังทำให้ผู้คนหมดพลัง คุณไม่จำเป็นต้องเห็นใบหน้าของผู้คนในทุกการประชุม” Grant กล่าว “โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นกลุ่มคนที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว การปิดกล้องเป็นวิธีที่ดีในการช่วยให้ผู้คนได้ชาร์จพลังใหม่ และเมื่อถึงเวลาที่พวกเขาต้องเชื่อมต่อ พวกเขาจะมาพร้อมกับความตื่นเต้นมากขึ้น”
นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่ทำให้งานน่าตื่นเต้นคือการเชื่อมต่อกับเพื่อนร่วมงาน ปัจจุบันพนักงานเปลี่ยนงานบ่อยขึ้น ส่งผลให้มีมิตรภาพแบบผิวเผินหรือความสัมพันธ์แบบฉาบฉวยที่มุ่งเน้นแค่เรื่องงานมากขึ้น ตามที่ Grant ชี้ให้เห็น
“เนื่องจากเราไม่ได้วางแผนที่จะอยู่นาน เราจึงไม่ลงทุนในเรื่องความสัมพันธ์แบบเดิมอีกต่อไป เรามองเพื่อนร่วมงานว่าเป็นคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตชั่วคราว ทักทายพวกเขาด้วยความสุภาพแบบห่างๆ ในขณะที่เก็บมิตรภาพที่แท้จริงไว้สำหรับนอกที่ทำงาน” เขากล่าวในบล็อกโพสต์ล่าสุดของ Glassdoor
Grant แนะนำให้พนักงานตั้งใจสร้างความสัมพันธ์จริงๆ ในที่ทำงาน ไม่ว่าจะด้วยการนัดดื่มกาแฟกับเพื่อนร่วมงานหรือสร้างความผูกพันผ่านการแก้ปัญหาร่วมกัน
“ลองคิดถึงสิ่งที่คุณอยากแบ่งปันที่ตรงกับความสนใจของคนอื่นในที่ทำงานของคุณ” Grant แนะนำ “อาจเป็นค่านิยมร่วมที่ทำให้คุณเข้าร่วมองค์กร (หรือ) การลงมือแก้ปัญหาที่คุณสนใจ หรือพันธกิจที่สำคัญสำหรับคุณ”
ในยุคที่การทำงานแบบรีโมตและไฮบริดกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น การตระหนักถึงภาวะ ‘Boreout’ อาจเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูความกระตือรือร้นและประสิทธิภาพในการทำงาน ท่ามกลางความสะดวกของการทำงานจากระยะไกล เราอาจต้องหาวิธีใหม่ๆ ในการสร้างความหมายและการเชื่อมต่อ ก่อนที่ความเบื่อจะกลืนกินความสุขในการทำงานของเราไปจนหมด
อ้างอิง: