×

รู้เรื่องโบนัสแล้วอยากจะปล่อยโฮ นี่บริษัทเห็นเราเป็นอะไร

03.01.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • ทั้งผู้ประกอบการและพนักงานให้ความสำคัญกับโบนัสในฐานะปัจจัยสำคัญในการรักษาพนักงานและดึงดูดใจพนักงานใหม่ๆ ให้เข้ามา และโบนัสก็เป็นปัจจัยในการหาองค์กรใหม่ด้วย แต่ต้องบอกว่าโบนัสไม่ใช่ทุกอย่างที่พนักงานควรจะมองหา หรือเป็นสิ่งเดียวที่องค์กรจะให้พนักงานได้
  • ชื่อว่าเป็นการประเมิน ถ้ากระบวนการประเมินไม่ยุติธรรม วัดผลไม่ได้จริง ก็จะมีกรณีที่พนักงานรู้สึกว่าทำไมทำงานดีแต่ได้โบนัสไม่ยุติธรรมได้ หรือพนักงานบางคนทำงานไม่ดีเลย แต่เป็นลูกรักเลยได้โบนัสเยอะ แล้วถ้าพนักงานดีๆ รู้สึกว่าไม่ได้รับการประเมินอย่างยุติธรรมเขาก็จะไปจากบริษัท

Q: เห็นตัวเลขโบนัสปีนี้แล้วปวดใจมากครับ ทำงานหนักมาทั้งปีแต่ได้โบนัสเหมือนเศษเงิน ลาออกเสียเลยดีไหมครับ

 

Q: จนป่านนี้บริษัทยังไม่มีวี่แววจะประกาศโบนัสเลยค่ะ ไม่รู้ปีนี้จะได้โบนัสไหม ทำอย่างไรดีคะ

 

Q: ช็อกมากครับพี่ ปีนี้ไม่มีโบนัส และไม่มีคำอธิบายใดๆ จากทางบริษัท กดดูเงินเดือนอีกทีก็มีแต่เงินเดือน ไม่มีโบนัส รู้สึกท้อแท้ใจมากครับ

 

Q: รู้สึกว่าตัวเลขโบนัสที่ได้ไม่ยุติธรรมเลยค่ะ ดิฉันคิดว่าดิฉันทำงานได้ดี แต่โบนัสที่ได้มันน้อยเกินความคาดหมายมาก ดิฉันควรทำอย่างไรดีคะ

 

A: ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ผมได้รับอีเมลขอปรึกษาและขอระบายความคับข้องใจเรื่องโบนัสมหาศาลจริงๆ เพราะฉะนั้นหากคุณรู้สึกไม่สบายใจกับโบนัสที่ได้หรือไม่ได้ก็ตาม ผมอยากจะบอกคุณว่า ไม่ใช่แค่คุณคนเดียวหรอกครับที่รู้สึกแบบนั้น มีคนอีกมากมายที่ประสบปัญหาเดียวกัน

 

จริงๆ ก็เหมือนกับทุกปัญหาในชีวิตของเราครับ มีคนที่ทุกข์เหมือนเรา คล้ายเรา ไปจนถึงอาจจะทุกข์กว่าเราด้วยซ้ำ จนทุกข์ที่เรามีอาจจะดูเล็กนิดเดียวไปเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่ารู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว มีผู้ประสบชะตากรรมร่วมกับเราอีกมากครับบนโลกนี้ เช่นเดียวกัน ทุกปัญหามีทางออกครับ

 

ประโยชน์ของโบนัสคืออะไร แน่นอนว่าทั้งผู้ประกอบการและพนักงานให้ความสำคัญกับโบนัสในฐานะปัจจัยสำคัญในการรักษาพนักงาน และดึงดูดใจให้พนักงานใหม่ๆ เข้ามา และโบนัสก็เป็นปัจจัยในการหาองค์กรใหม่ด้วย แต่ต้องบอกก่อนนะครับว่า โบนัสไม่ใช่ทุกอย่างที่พนักงานควรมองหา หรือเป็นสิ่งเดียวที่องค์กรจะให้พนักงานได้ ที่สุดแล้วพนักงานยังคงให้ความสำคัญกับโอกาสในการเติบโตอยู่เช่นกัน ซึ่งจากผลวิจัยของบริษัทจัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด ที่สำรวจอัตราโบนัสของพนักงานไทยปี 2560 ก็บอกในเรื่องนี้ครับ

ตรงนี้ต้องขีดเส้นใต้ว่า โบนัสที่ได้ขึ้นอยู่กับการประเมิน ก็ต้องไปดูอีกว่าการประเมินยุติธรรมไหม วัดผลได้จริงหรือเปล่า ซึ่งทั้งพนักงานและหัวหน้าต้องเคลียร์คัตชัดเจนตั้งแต่ก่อนประเมินว่าแต่ละปีจะวัดคุณภาพการทำงานกันอย่างไร

โบนัสที่มนุษย์เงินเดือนได้มีอยู่ 2 แบบด้วยกัน คือ แบบการันตีและแบบประเมินตามผลงาน แบบการันตีเป็นแบบที่องค์กรจะบอกพนักงานไว้ตั้งแต่ตอนรับเข้ามาทำงานเลยว่าอัตราที่ได้แน่นอนอยู่แล้วเป็นเท่าไร ไม่มีอะไรต้องลุ้น ข้อดีของโบนัสแบบนี้คือ พนักงานรู้สึกอุ่นใจว่าอย่างไรก็ได้โบนัส และเป็นตัวเลขที่น่าดึงดูดให้พนักงานอยากอยู่และอยากเข้ามาทำงาน แต่ข้อเสียก็มีเหมือนกันตรงความอุ่นใจนี่แหละครับ เพราะรู้อยู่แล้วว่าทำงานอย่างไรก็ได้เท่านี้อยู่แล้วก็อาจจะขาดความกระตือรือร้น บางคนอาจจะทำงานไปวันๆ เพื่อให้ไปถึงเดือนที่จ่ายโบนัสแค่นั้นก็สบายใจแล้ว แทนที่จะได้คนขยันก็อาจจะได้คนทำงานไปวันๆ แทน และผลเสียอีกอย่างที่จะเกิดกับพนักงานคือพอไม่มีความทุ่มเทก็จะไม่มีการเรียนรู้ ตัวเขาก็จะมีคุณค่าน้อย

 

มันจึงมีโบนัสอีกแบบ คือแบบประเมินตามผลงาน ถ้าประเมินแล้วออกมาดีก็ได้มาก ถ้าประเมินแล้วออกมาไม่ดีก็ได้น้อย อันนี้ต้องไปลุ้นกันเองว่าจะได้เท่าไร ตรงนี้ต้องขีดเส้นใต้ว่า โบนัสที่ได้ขึ้นอยู่กับการประเมิน ก็ต้องไปดูอีกว่าการประเมินยุติธรรมไหม วัดผลได้จริงหรือเปล่า ซึ่งทั้งพนักงานและหัวหน้าต้องเคลียร์คัตชัดเจนตั้งแต่ก่อนประเมินว่าแต่ละปีจะวัดคุณภาพการทำงานกันอย่างไร ถ้าจะให้ดี แทนที่จะมารวบยอดประเมินกันปลายปี ควรมีการประเมินระหว่างทางมาตลอดเพื่อให้คุณรู้ได้ว่าตอนนี้คุณภาพการทำงานอยู่ในระดับใด มีอะไรบ้างที่คุณอยากให้หัวหน้าช่วยเหลือ มีอะไรบ้างที่คุณควรต้องปรับปรุงเพื่อไปให้ถึงเกณฑ์ ดีกว่ามารวบยอดประเมินกันแค่ปลายปี พนักงานก็จะขยันแค่ตอนก่อนประเมินให้หัวหน้าเห็น หรือระหว่างทางมีปัญหาอะไรก็จะไม่เคยรู้

 

ข้อดีของโบนัสแบบนี้คือ ยุติธรรมดีครับ ใครทำดีก็ควรได้มาก ใครทำยังไม่ดีเท่าที่ควรก็ควรได้น้อยกว่า ทำให้พนักงานขยัน เพราะที่สุดแล้วเขารู้ว่าคนที่จะได้ประโยชน์คือตัวเขาเองถ้าเขาทำงานได้ดี แต่ข้อเสียคือ ขึ้นชื่อว่าเป็นการประเมิน ถ้ากระบวนการประเมินไม่ยุติธรรม วัดผลไม่ได้จริง ก็จะมีกรณีพนักงานรู้สึกว่าทำไมทำงานดีแต่ได้โบนัสไม่ยุติธรรมได้ หรือพนักงานบางคนทำงานไม่ดีเลยแต่เป็นลูกรักเลยได้โบนัสเยอะไปด้วย แล้วถ้าพนักงานดีๆ รู้สึกว่าเขาไม่ได้รับการประเมินอย่างยุติธรรมเขาก็จะไป บริษัทก็อาจจะเสียพนักงานดีๆ ไปได้ การบริหารองค์กรอย่างมีความยุติธรรมและโปร่งใสจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกองค์กรอย่างไรล่ะครับ

 

บางบริษัทให้โบนัสแบบการันตีอย่างเดียว บางบริษัทให้โบนัสแบบประเมินตามผลงานอย่างเดียว และบางบริษัทให้ทั้งสองแบบควบคู่กัน แล้วแต่ว่าองค์กรนั้นจะเลือกบริหารคนแบบไหน

 

อันนี้บอกเผื่อสำหรับคนที่ไปสมัครงานแล้วบริษัทบอกว่าเงินเดือนที่นี่อาจจะน้อยนะ แต่ได้โบนัสเยอะ อย่างไรก็ตาม ผมแนะนำว่าอย่าฝากชีวิตไว้กับตัวเลขโบนัส เพราะความจริงที่น่าเจ็บปวดก็คือ จริงอยู่คุณอาจจะได้โบนัสเยอะ พอเฉลี่ยกับเงินเดือนแล้วดูสูง แต่บางทีพอจะย้ายงาน บางบริษัทจะพิจารณาเงินเดือนคุณโดยดูเพียงแต่ฐานเงินเดือน ไม่ได้ดูเรื่องโบนัสไปด้วย

 

เช่น บริษัทมีกฎว่าจะขึ้นเงินเดือนจากที่เคยได้จากบริษัทเก่าอย่างมากสุดคือ 30% ไม่เกินนั้น ต่อให้คุณได้โบนัสมากเดือน แต่ฐานเงินเดือนต่ำ จุดเริ่มต้นเงินเดือนที่เขาจะพิจารณาคุณก็จะต่ำอยู่ดี เพราะฉะนั้นอย่ามองแต่ตัวเลขโบนัสครับ ต้องดูฐานเงินเดือนประกอบกันด้วย แต่อีกเรื่องที่อยากจะบอกก็คือ ถ้าบริษัทใหม่เขาจะดูแค่ว่าฐานเงินเดือนเก่าคุณเท่าไรเลยขึ้นให้ได้ไม่มาก ผมก็คิดว่ากฎบ้าบอนี่ก็ไม่ Practical สักเท่าไรนะครับ เพราะเขาย้ายงานมาด้วยเงินเดือนที่น้อยอยู่แล้ว มาที่ใหม่ยังได้เงินเดือนน้อยอีก แล้วเขาจะอยู่ได้นานหรือ ของแบบนี้ถ้าคุณภาพคนดีก็ต้องได้ผลตอบแทนที่ดีไปด้วย ถ้าให้ผลตอบแทนไม่ดี คนคุณภาพดีแค่ไหนก็ไป เรื่องนี้น่าจะเป็นสิ่งที่องค์กรที่อยากเก็บคนที่มีคุณภาพให้ทำงานอยู่ควรพิจารณา

 

ทีนี้โบนัสจะเป็นอย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เป็นความจริงที่น่าเจ็บปวดและเราต้องเข้าใจคือ โบนัสไม่ได้เป็นสัญญาของบริษัทว่าจะให้พนักงาน แต่เป็นสิ่งที่บริษัทพิจารณาแล้วเห็นสมควรว่าจะให้พนักงานหรือไม่ นั่นแปลว่าบริษัทจะให้หรือไม่ให้โบนัสก็ได้ (ถ้าไม่ได้เป็นโบนัสแบบการันตี) มันมีสถานการณ์หลายอย่างที่อาจจะทำให้บริษัทไม่สามารถให้โบนัสพนักงานได้ เช่น ผลประกอบการไม่ถึงเป้า ได้กำไรน้อยมาก หรือจำเป็นต้องเอาเงินไปลงทุนบางอย่างเพื่อองค์กรในระยะยาว (เช่น ปีนี้เอาเงินไปใช้กับการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ของบริษัทครั้งใหญ่ ไม่อย่างนั้นในอนาคตบริษัทจะตามไม่ทันโลก เดี๋ยวปีต่อๆ ไปจะไม่มีกำไร เพราะฉะนั้น การลงทุนที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็เพื่อให้ในระยะยาวบริษัทยังสามารถอยู่ได้ มีกำไรได้ และแข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้ได้) หรือเอาเงินไปโปะให้ต้นสังกัดเมืองนอกเพื่อให้ไม่ต้องไล่พนักงานออกสักคน ฯลฯ มันมีเหตุผลมากมายที่บริษัทอาจจะต้องเลือกการไม่จ่ายโบนัสพนักงานมาใช้ในการบริหารองค์กร

การที่รู้สึกว่าตัวเองโดนองค์กรที่เขาจงรักภักดีมาตลอดปีหักหลัง ไม่จริงใจ มันโคตรเจ็บเลยนะครับสำหรับพนักงาน

แต่จะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘การสื่อสารในองค์กร’ ให้พนักงานเข้าใจครับ มันแสดงถึงความจริงใจต่อพนักงาน ให้เกียรติพนักงาน รักพนักงาน ไม่ได้รู้สึกว่าพนักงานเป็นอะไรก็ตามที่บริษัทจะทำอะไรก็ได้ จะให้หรือไม่ให้โบนัสพนักงานก็ควรต้องบอกกัน พนักงานควรรู้ความเป็นไปของบริษัท เพราะเขามีส่วนที่จะช่วยบริษัทให้ดีขึ้นได้

 

ผมคิดว่าข่าวร้ายที่เรารู้ก่อนนั้นเป็นข่าวร้ายที่ร้ายน้อยกว่าข่าวร้ายที่เรามารู้ทีหลังหรือไม่เคยได้รับการอธิบายใดๆ อย่างน้อยถ้าจะไม่ให้โบนัสกัน ก็ควรบอกว่าเพราะอะไร มีความจำเป็นอย่างไร บางองค์กรอาจจะรู้สึกว่า บอกไปพนักงานก็คงแตกตื่น ชิงลาออกกันหมดสิ แต่ผมคิดว่าถ้ามีวิธีการบอกพนักงานที่ดี บอกด้วยความจริงใจ การที่ทุกคนรู้สถานการณ์เท่ากัน ทั่วถึงกันหมด จะทำให้พนักงานเข้าใจบริษัทมากขึ้น เรื่องบางเรื่องคนเป็นพนักงานก็อาจจะไม่รู้ว่าองค์กรเผชิญอะไรอยู่ เรื่องนี้ต้องใช้ศิลปะในการบอก แต่การไม่บอกอะไรเลย การปล่อยให้พนักงานคิดเอง ลือกันไปเอง แล้วก็ลาออกไปพร้อมกับความไม่เข้าใจองค์กรและรู้สึกว่าตัวเขาไม่มีคุณค่า มันได้เสียแค่พนักงานนะครับ แต่เสียไปถึงองค์กรด้วย

 

เพราะการที่รู้สึกว่าตัวเองโดนองค์กรที่เขาจงรักภักดีมาตลอดปีหักหลัง ไม่จริงใจ มันโคตรเจ็บเลยนะครับสำหรับพนักงาน

 

ในทุกการบอกข่าวร้ายว่าจะไม่มีโบนัสหรือโบนัสปีนี้อาจจะน้อยกว่าปกตินั้น ควรจะต้องมาพร้อมกับข่าวดีด้วย อย่าลืมนะครับว่าถ้าบอกพนักงานแค่ว่าปีนี้ไม่มีโบนัส พนักงานคงช็อก จริงๆ ผมคิดว่าบริษัทควรบอกด้วยว่า แม้ปีนี้จะไม่มีโบนัส แต่บริษัทได้มีแผนการอย่างไรเพื่อให้บริษัทมีกำไรมากขึ้น มีแผนการอย่างไรเพื่อดูแลพนักงาน มีแผนการอย่างไรเพื่อให้บริษัทสามารถอยู่ได้ ไปจนถึงควรใช้โอกาสนี้ในการขอบคุณพนักงานที่ทำให้บริษัทยังอยู่ได้ ขอบคุณที่ร่วมฝ่าฟันกันมา เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสในการสร้างความปึกแผ่นในองค์กร แน่นอนคนที่ลาออกไปเพราะไม่มีโบนัสก็จะต้องมี มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่คนที่ยังอยู่เพราะเข้าใจองค์กร เพราะรักองค์กร นี่คือคนที่องค์กรควรต้องดูแลใส่ใจ ควรต้องทำให้เขารู้ว่าองค์กรเห็นคุณค่าของเขา และขอบคุณเหลือเกินที่จะสู้ไปด้วยกันในปีที่ยากลำบาก ปีนี้อาจจะเป็นปีที่เหนื่อย แต่ปีหน้าเรามาจับมือกัน ช่วยกันทำให้มันดีขึ้นไหม

 

เช่นเดียวกัน ผมคิดว่าพนักงานมีสิทธิ์รู้ความเป็นไปของบริษัท ถ้าบริษัทไม่ยอมบอกสักที พนักงานก็ควรมีสิทธิ์ถามครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจะได้หรือไม่ได้โบนัส การพิจารณาโบนัสเป็นอย่างไร เอาจริงๆ คือทุกคำถามที่เกี่ยวกับชีวิตการทำงานของเขานั่นแหละครับคือสิ่งที่ควรถามได้ ซึ่งผมเชื่อเหลือเกินว่า บริษัทที่รักและเห็นคุณค่าของพนักงานจะตอบคำถาม เพราะเขารู้สึกว่าพนักงานไม่สบายใจอยู่ แต่บริษัทที่หนีการตั้งคำถามของพนักงาน ไม่ใส่ใจจะอธิบายพนักงาน ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันก็แสดงให้เห็นว่าองค์กรนั้นไม่ได้แคร์คุณค่าของพนักงาน และอยากจะทำอะไรกับพนักงานก็ได้ พนักงานไม่หือไม่อือ ไม่ได้รู้สึกว่าพนักงานเป็นพวกเดียวกันที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วย เพราะเมื่อเราแคร์ใคร เราจะไม่อยากให้เขาไม่สบายใจ เราจะอยากให้เขาอยู่อย่างมีความสุข เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องพื้นฐานนะครับ

 

อย่างที่บอกครับ การมีคำอธิบายย่อมดีกว่าการปล่อยให้พนักงานคิดเอง เจ็บเอง เผลอๆ จะลือกันไปเอง เราก็จะได้องค์กรที่พนักงานไม่ได้รักองค์กร เกลียดองค์กร และรู้สึกว่าองค์กรทรยศความจงรักภักดีของเขา เผลอๆ การมีคำอธิบายที่ดีทำให้พนักงานรักองค์กรมากกว่าเดิมด้วยซ้ำครับ เพราะรู้สึกว่าองค์กรจริงใจกับเขา หรือพอเขารู้ว่าองค์กรกำลังเผชิญปัญหาอะไรอยู่ แล้วเขารู้สึกอยากจะร่วมต่อสู้ไปกับอีกหนึ่งครอบครัวของเขาไปด้วย

 

สิ่งที่น่าคิดคือ องค์กรที่สร้างพนักงานให้กลัวแม้แต่การตั้งคำถามถึงความเป็นไปในบริษัท มันจะเป็นองค์กรที่ดีได้อย่างไร อะไรคืออำนาจที่เหยียบหัวพนักงานให้ศิโรราบไม่กล้าตั้งคำถามกับผู้นำองค์กรได้แบบนั้น มันก็สะท้อนนะครับว่าองค์กรนั้นเป็นองค์กรแบบไหน และประกอบสร้างคนแบบไหนมาอยู่ในองค์กร ก็ต้องกลับมามองแหละครับว่าองค์กรเราเป็นแบบไหน สร้างคนแบบไหนมา และบ้านหลังนี้เราได้ทำให้เป็นบ้านที่น่าอยู่จริงหรือเปล่า

 

สำหรับคนที่รู้สึกว่าเห็นตัวเลขโบนัสแล้วอยากลาออกจังเลย ผมอยากแนะนำว่า โบนัสไม่ใช่สิ่งเดียวในชีวิตการทำงาน การจะเลือกลาออกหรืออยู่ต่อนั้นควรต้องดูหลายปัจจัย อย่ากดปุ่มลาออกเพียงเพราะความไม่พอใจในเรื่องใดเรื่องเดียว ลองดูว่าที่ผ่านมานอกจากเรื่องโบนัสแล้วมีอะไรที่คุณไม่สบายใจอีกไหม และแต่ละปัญหานั้นจะแก้ได้อย่างไร หรือต้องการความช่วยเหลือจากองค์กรอย่างไร ไปจนถึงการตั้งคำถามกับตัวเองว่า นี่เราอยากลาออกจริงๆ หรือแค่เหนื่อย

 

แทนที่จะรอว่าปลายปีจะได้โบนัสอะไร ลองดูไหมครับว่าแต่ละวันคุณได้โบนัสในการทำงานเป็นอะไรบ้าง เช่น ได้ประสบการณ์การทำงานมากขึ้น ได้บทเรียนใหม่ๆ ได้โอกาสในการแสดงฝีมือ ได้โจทย์งานที่ท้าทาย ได้เพื่อนร่วมงานที่ดี ได้ทำงานใกล้บ้าน ได้ทำงานที่ได้ไปเห็นอะไรที่น้อยคนนักจะได้รับโอกาส ฯลฯ มองหาโบนัสชีวิตในแต่ละวันให้เจอ แล้วเราจะไม่รู้สึกว่าโบนัสปลายปีคือนิพพานของชีวิตที่เราจะต้องรอ

 

เพราะพอถึงปลายปีที่โบนัสที่เป็นตัวเงินออก เราจะรู้สึกว่าปีที่ผ่านมาเราไม่ได้ได้โบนัสมือเปล่า แต่ได้อะไรเต็มไปหมด

 

ฝากเรื่องสุดท้ายคือ ไม่ว่าจะได้โบนัสเท่าไรก็ตาม อย่าเอาเงินนั้นไปใช้จนหมดนะครับ แบ่งไว้สำหรับออมและลงทุนต่อยอดด้วย

 

สวัสดีปีใหม่ครับทุกท่าน ขอให้เป็นปีที่สนุกกับการทำงาน และงานที่คุณทำทำให้คุณเติบโตขึ้น นั่นแหละครับ โบนัสชีวิต

 

* ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ 

 

ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising