เพิ่งผ่านพ้นพิธีรำลึก 72 ปี โศกนาฏกรรมนิวเคลียร์ฮิโรชิมาได้ไม่นาน ขีปนาวุธนี้ยังหลอกหลอนโลกไม่ขาดสาย เมื่อผู้นำเกาหลีเหนือและสหรัฐอเมริกาเปิดสงครามน้ำลายใส่กันอย่างไม่เว้นวรรค
ผู้นำที่จุติจากสวรรค์อย่าง คิมจองอึน ประกาศกร้าวว่า กลางสิงหาคมนี้ จะยิงขีปนาวุธข้ามทวีป 4 ลูก ไปถล่มเกาะกวม โดยกองทัพจะนำเสนอแผนสุดท้ายให้ผู้นำคิมเร็วๆ นี้
ตัวแทนประชาชนอเมริกัน โดนัลด์ ทรัมป์ สวนว่า เกาหลีเหนือจะเจอ ‘เปลวเพลิงและความพิโรธ’ หากไม่ยุติท่าทีนี้ ซ้ำประธานาธิบดีรายที่ 45 เพิ่งออกมาย้ำอีกว่า ที่เตือนไปยังไม่แรงพอ
ส่วนนักวิเคราะห์ออกมาให้ความเห็นว่า ในช่วงสิงหาคมที่อเมริกาและเกาหลีใต้ร่วมซ้อมรบ เกาหลีเหนือก็พูดจาแรงมากขึ้นเป็นปกติอยู่ แต่ครั้งนี้การปะทะมันหนักขึ้น เพราะผู้นำอเมริกันชนก็เล่นวิธีแบบเดียวกัน
ขณะที่ฝ่ายรัฐมนตรีต่างประเทศ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน ออกมาบอกว่า สหรัฐพร้อมเจรจากับเกาหลีเหนือเพื่อยุติการทดสอบมิสไซล์และปลดอาวุธนิวเคลียร์ อันเป็นท่าทีที่ฝ่ายจีนเองก็เห็นดีด้วย
หลายฝ่ายกังขาว่า เกาหลีเหนือยังไม่สามารถย่อหัวรบนิวเคลียร์ได้ แม้จะออกมาอ้างว่าสำเร็จแล้วก็ตาม แต่เอกสารสหรัฐที่หลุดออกมาเชื่อว่า โสมแดงบรรลุเป้าหมายนี้แล้ว
เกาะกวมอันเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของสหรัฐที่ตกเป็นเป้าหมายตามคำขู่ผ่านกระบอกเสียงทางการเกาหลีเหนืออย่างเคซีเอนเอ ตั้งอยู่ห่างจากจุดยิง 3,500 กิโลเมตร ตกอยู่ในพิสัยของมูซูดัน มิสไซล์ระดับรองลงมาที่เกาหลีเหนือยิงทดสอบอย่างหนักหน่วงในปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ในปี 2013 ปลายหอกสหรัฐแห่งนี้ได้มีการติดตั้งระบบต่อต้านขีปนาวุธ (THAAD) ไว้แล้ว
น้ำหนักการเคลื่อนไหวฝ่ายโสมแดงและปรปักษ์ขุ่นมัวจนมองไม่เห็นถึงทางลงให้ทั้งสองฝ่ายง่ายๆ กอปรกับมาตรการคว่ำบาตรสหประชาชาติที่ตัดรายได้ส่งออกหลายพันล้านดอลลาร์ที่หวังชะลอเงินอัดฉีดการพัฒนาอาวุธ
ความตึงเครียดนี้ลุกลามถึงระดับภูมิภาคอย่างเห็นได้ชัด ฝ่ายไทยเปิดเผยว่า การเยือนของทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศทิลเลอร์สัน จากอเมริกา และลาฟรอฟ จากรัสเซีย ต่างก็มีการกล่าวถึงข้อกังวลนี้
ส่วนไทยเองมีเพียงบทบาทรองในการช่วยแก้ปัญหานี้ ด้วยทั้งความสัมพันธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์และการค้า ที่แม้ยอดจะลดลงจาก 126 ล้านดอลลาร์จากปี 2014 เหลือเพียงเกือบล้านในหกเดือนที่ผ่านมา
ศ.ดร. สุรชาติ บำรุงสุข จากรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยผ่าน Bangkok Post ว่า ไม่มีผลกระทบเลย
สำหรับทางลงนั้น ดร. วิเชียร อินทะสี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ว่า ควรเป็นไปในทางการทูต โดยเริ่มจากช่องทางผ่านสถาบันต่างๆ แล้วค่อยยกระดับขึ้นเป็นการเจรจาทางลับผ่านองค์กรหรือทูตพิเศษ
พร้อมกันนี้ อาจารย์มหาวิทยาลัยนเรศวรชี้อีกว่า จีนเองก็มีบทบาทสำคัญแม้ความสัมพันธ์ไม่ได้แน่นแฟ้นเหมือนยุคคิมจองอิล ส่วนฝ่ายสหรัฐอเมริกาก็ควรเบาท่าทีลง หันมาเจรจาระหว่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่น
ขณะเดียวกัน นายเสกสรร อานันทศิริเกียรติ นักศึกษาทุนวิจัยอาเซียนเพื่อเกาหลีศึกษาของมูลนิธิเกาหลีและบัณฑิตวิทยาลัยการระหว่างประเทศศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล เปิดเผยต่อ THE STANDARD ว่า อาเซียนและเกาหลีใต้จำเป็นต้องเปิดเส้นทางเจรจาบนเวทีประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาค (ARF) ที่ทุกฝ่ายรวมทั้งโสมแดงอยู่ครบ
ถึงอย่างนั้น ท่าทีปัญหาเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ ฟิลิป โครวลีย์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ฝ่ายกิจการสาธารณะ เขียนผ่าน BBC ว่า ในปี 1994 คู่ปัญหานี้ก็เกือบเปิดศึกกันจริงๆ แต่ก็สามารถแก้ปัญหาผ่านการทูตได้
แต่เดิมแค่การเบ่งกล้ามและพ่นน้ำลายของเกาหลีเหนือ บรรยากาศโลกก็ไม่น่าพิสมัยแล้ว ผสมโรงเข้ากับประธานาธิบดีผมทองรายนี้ ประสาทจะกินกันถ้วนหน้าเลยทีเดียว
อ้างอิง:
