×

นักวิเคราะห์มองแนวโน้มกำไรอสังหาปีหน้าโต 17% ชูกลุ่มกลาง-บนโดดเด่น ขณะที่กลุ่มกลาง-ล่างยังเสี่ยงพิษเศรษฐกิจกดดัน แนะเฟ้นหุ้นเติบโตสูง-ปันผลดี

29.11.2021
  • LOADING...
อสังหาริมทรัพย์

บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ผลประกอบการกลุ่มอสังหาริมทรัพย์งวดไตรมาส 3/64 มีกำไรปกติอยู่ที่ระดับ 6.6 พันล้านบาท ลดลง 22% จากไตรมาส 2/63 และ 27% จากไตรมาส 3/63 ซึ่งเป็นผลกระทบโควิดและปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง กดดันยอดโอนและส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วม โดยหากพิจารณารายบริษัทพบว่า SPALI, AP, SC, ORI และ LALIN มีกำไรในเกณฑ์ดี แม้ลดลง แต่ในอัตราน้อยกว่ากลุ่ม

 

ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกปี 2564 กลุ่มอสังหาริมทรัพย์มีกำไรปกติ 2.23 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว และคิดเป็น 72% ของเป้ากำไรปกติปีนี้ (นับเฉพาะ 13 บริษัท) โดยมียอดโอน 1.47แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน คิดเป็น 71% ของเป้าโอนทั้งปี

 

ขณะที่นักวิเคราะห์ประเมินแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/64 จะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น และจะเป็นไตรมาสที่กำไรสูงสุดของปี ส่วนปี 2565 คาดว่าผลประกอบการกลุ่มอสังหาจะเติบโตได้ถึง 17% 

 

สรพงษ์ จักรธีรังกูร ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย กล่าวว่า แนวโน้มกำไรกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะฟื้นตัวในไตรมาส 4/64 ต่อเนื่องถึงปี 2565 เนื่องจากฐานกำไรในไตรมาส 3/64 ค่อนข้างต่ำ เพราะมีการปิดแคมป์คนงานก่อสร้างในช่วงต้นไตรมาส 3 ที่ผ่านมา อีกปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของกำไรคือการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการแนวราบ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มกำไรไตรมาส 4/64 น่าจะยังต่ำกว่าฐานกำไรในไตรมาส 4/63 

 

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการปี 2565 ประเมินกำไรกลุ่มอสังหาจะมีการเติบโตประมาณ 17% โดยเป็นการเติบโตจากยอดขายที่ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 5-6% และเป็นการเติบโตจากการรับรู้กำไรจากการลงทุนที่จะขยายตัวสูงถึง 40% เนื่องจากในปีนี้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์แทบไม่มีการรับรู้กำไรจากการลงทุนหรือรับรู้ในส่วนน้อย เพราะบริษัทในเครือที่ถือหุ้นอยู่นั้นส่วนใหญ่มีผลการดำเนินการที่ไม่ดีนัก เช่น หุ้น LH และ QH ที่ลงทุนใน HMPRO ก็จะมีกำไรที่ดีขึ้นมากในปี 2565 จากปีนี้ที่รับรู้กำไรค่อนข้างต่ำ

 

นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการขายทั่วไปและบริหาร (SG&A) ของผู้ประกอบการอสังหาในปี 2565 น่าจะลดลงประมาณ 0.3-0.4% อีกด้วย 

 

“หุ้นอสังหาที่โดดเด่นในปีหน้าคือหุ้นที่อยู่มีฐานลูกค้าในตลาดกลาง-บน และมีพอร์ตเป็นโครงการบ้านเดี่ยว ซึ่งกำลังซื้อในตลาดนี้และบ้านประเภทนี้จะเติบโตได้ดีในปีหน้า นอกจากนี้หุ้นที่มียอดขายในปีนี้และเตรียมโอนในปีหน้าก็เป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจ” สรพงษ์กล่าว 

 

ด้าน มงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบีเอสที กล่าวว่า กำไรกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะฟื้นตัวได้ในไตรมาส 4/64 ต่อเนื่องถึงปี 2565 แต่จะเป็นการฟื้นตัวเฉพาะกลุ่มที่ครองตลาดกลาง-บน ขณะที่กลุ่มกลาง-ล่างมองว่ายังคงได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอยู่เหมือนกับภาพรวมในปีนี้ 

 

ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของกำไรมาจากเศรษฐกิจในประเทศที่เริ่มฟื้นตัว และมาตรการผ่อนคลาย LTV ที่ทำให้ความตึงตัวด้านกำลังซื้อผ่อนคลายลง แต่ก็ช่วยได้ไม่มากนัก 

 

“เพราะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นแบบ K-Shape กำลังซื้อที่จะกลับมาจริงจึงอยู่ในกลุ่มตลาดกลาง-บนมาก ส่วนตลาดกลาง-ล่างยังเผชิญแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อในปลายปีนี้และปีหน้า” มงคลกล่าว 

 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนหุ้นกลุ่มอสังหาแนะนำให้เลือกหุ้นที่กำลังอยู่ในช่วงการเติบโต โดยพิจารณาได้จากหุ้นที่มีการแตกไลน์ไปสู่ธุรกิจแห่งอนาคต และเลือกหุ้นที่ปันผลน่าสนใจ โดย บล.เคทีบีเอสที แนะนำหุ้นเด่นคือ ORI, SPALI และ AP 

 

อย่างไรก็ตาม หุ้นเด่นดังกล่าวในปัจจุบันถือว่าราคาปรับขึ้นมาแล้วค่อนข้างมาก จึงแนะนำให้รอราคาย่อตัวลงราว 5% จึงเข้าลงทุน 

 

ขณะที่ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส คาดการณ์ว่า กำไรกลุ่มอสังหาไตรมาส 4/64 จะดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/64 และเป็นไตรมาสที่มีกำไรสูงสุดของปี เนื่องจากสถานการณ์โควิดคลี่คลายดีขึ้น นำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์จนกระทั่งการเปิดเมืองและเปิดประเทศ ซึ่งเอื้อต่อภาพรวมในทุกธุรกิจ ตั้งแต่ธุรกิจพัฒนาอสังหาเพื่อขาย สะท้อนจากยอดขายเดือนตุลาคมของแต่ละบริษัทฟื้นตัวชัดเจนรายเดือน และสู่ระดับปกติเหมือนเฉลี่ยในครึ่งแรกปี 2564 

 

ประกอบกับแผนเปิดโครงการใหม่ที่จะมีมากขึ้นโดยเฉพาะแนวราบ ซึ่งบางส่วนสามารถขายและโอนทันในไตรมาสเดียวกัน ประกอบกับการส่งมอบคอนโดใหม่ที่มีต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 3 และ 4 

 

นอกจากนี้การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายส่งท้ายของปี รวมถึงโค้งสุดท้ายของมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนฯ และจดจำนองเหลืออย่างละ 0.01% สำหรับมูลค่าที่อยู่อาศัยไม่เกิน 3 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2564 และการปลดล็อกมาตรการ LTV ของแบงก์ชาติเป็น 100% สำหรับที่อยู่อาศัยทุกกลุ่มตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2564 ล้วนเป็นแรงกระตุ้นต่อยอดโอนฯ ในไตรมาส 4/64 ได้ราว 5.5-6 หมื่นล้านบาท และผลักดันกำไรปกติไตรมาส 4/64 สูงสุดของปีที่ 8.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จากไตรมาส 3/64 

 

ทั้งนี้ ให้น้ำหนักลงทุนเท่ากับตลาด เลือกหุ้นเด่นที่มีพื้นฐานธุรกิจดี, พอร์ต

สินค้ามีการกระจายแนวราบและคอนโด, แนวโน้มกำไรปี 2565 เติบโตต่อเนื่อง และปันผลน่าสนใจ ได้แก่ AP ราคาเหมาะสมที่ 11.50 บาท, SC ราคาเหมาะสมที่ 4.30 บาท, SPALI ราคาเหมาะสมที่ 26.90 บาท, LH ราคาเหมาะสมที่ 10.10 และ ORI ราคาเหมาะสมที่ 13 บาท

 

 


ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

Twitter: twitter.com/standard_wealth

Instagram: instagram.com/thestandardwealth

Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising