ถึงเวลา รถไฟฟ้า ท้าชน อีโคคาร์ เมื่อ Neta V แบรนด์จากแดนมังกร

เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก Neta V ด้วยราคา 549,000 บาท ซึ่งเป็นราคา (คาดการณ์) หลังจากได้เข้าร่วมโครงการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลไทย ขณะที่ราคาปกติคือ 760,000 บาท

ทั้งนี้ Neta V ได้มีการเปิดรับจองตั้งแต่ช่วงมอเตอร์โชว์ราวเดือนมีนาคม ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศราคาอย่างเป็นทางการ แต่ได้มีการบอกกล่าวราคาเบื้องต้นว่าจะอยู่ที่ประมาณ 5 แสนกว่าบาท ทำให้มีผู้สนใจจองสิทธิ์เข้ามาเป็นจำนวนมากถึง 3,000 ราย นับจนถึงวันที่ประกาศราคาคือ 24 สิงหาคม 2565

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

“เราคาดหมายว่า Neta V จะสามารถทำยอดจองได้ถึง 7,000 คัน โดยการส่งมอบจะเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป และจะส่งมอบรถได้เดือนละประมาณ 1,000 คัน ส่วนเป้าหมายการจำหน่ายตั้งไว้ที่ 3,000 คันในปีแรก และเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 คันในปีหน้า” คำกล่าวของ อเล็กซ์ เป่า จ้วงเฟย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ในการแถลงข่าวเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของแบรนด์

การเปิดตัวด้วยราคาจำหน่าย 549,000 บาทของ Neta V ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรถยนต์ในเซกเมนต์อีโคคาร์ เพราะทั้งขนาดตัวถังและราคา รวมถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจัดอยู่ในระดับเดียวกัน โดยรถอีโคคาร์มีราคาอยู่ระหว่าง 5-7 แสนกว่าบาท การที่ Neta V เปิดตัวด้วยระดับราคาเทียบเท่ารุ่นเริ่มต้นของบางยี่ห้อ ย่อมดึงกระแสความสนใจได้มิใช่น้อย

ปัจจุบันตลาดอีโคคาร์นั้นถือว่าเป็นตลาดใหญ่อันดับ 2 ของไทย รองจากตลาดรถยนต์กระบะ โดยมียอดขายรวมทุกยี่ห้อเฉลี่ยปีละกว่า 2 แสนคัน โดยตัวเลขยอดขายสะสม 7 เดือนแรกของปีนี้ กลุ่มรถอีโคคาร์และบีเซกเมนต์มีจำนวนประมาณ 100,000 คัน

แม้ว่ายอดขายของ Neta V อาจจะยังไม่มากมายนัก แต่หากมองถึงอนาคตตามแผนงานที่จะเซ็นข้อตกลงกับหน่วยงานของรัฐบาลแล้ว ทั้งการตั้งโรงงานประกอบในประเทศไทยและการผลิตชดเชยให้ได้ตามจำนวนที่นำเข้ามาจำหน่ายในช่วงแรก เงื่อนไขเหล่านี้คือตัวผลักดันสำคัญที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์ต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการต้องเร่งสร้างยอดขาย เพื่อมิให้โดนปรับจากการผิดเงื่อนไขในการได้รับการสนับสนุน

สำหรับเป้าหมายของรัฐบาลไทย วางเป้ายอดจดทะเบียนของรถยนต์ไฟฟ้าไว้ที่ 10,000 คันในปีนี้ โดย 6 เดือนแรกมียอดจดทะเบียนทั้งสิ้น 3,006 คัน* ซึ่งคาดว่าถึงสิ้นปีน่าจะทำได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางเอาไว้ เนื่องจากปัญหาเรื่องการขาดแคลนชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์และราคาต้นทุนของแร่ในการผลิตแบตเตอรี่ ทำให้การส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าต้องล่าช้าออกไป

* หมายเหตุ: อ้างอิงจากเนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์)