ใครที่ชอบอาหารสไตล์อิตาเลียนเป็นทุนเดิมและกำลังมองหาร้านอาหารบรรยากาศพิเศษ เหมาะกับการเฉลิมฉลองทั้งกับคนรักและเพื่อน เราอยากชวนให้ไปที่ Coastiera ร้านอาหารอิตาเลียนย่านวิทยุที่เสิร์ฟอาหารสไตล์ Southern Italian/Coastal Italian ในแบบไฟน์ไดนิ่ง ท่ามกลางบรรยากาศหรูหรา แต่ขณะเดียวกันก็มีชีวิตชีวา เสมือนอยู่ท่ามกลางชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี โดยมี Andrea Ortu ผู้สวมหมวก Executive Chef ที่จะพาไปลิ้มรสความอร่อยตำรับอิตาเลียนแท้ๆ ในขณะที่ตัวอยู่กรุงเทพฯ
The Vibe
ภายในร้านถูกตกแต่งอย่างหรูหราท่ามกลางไฟที่สลัวอบอุ่น ให้ความรู้สึกว่าที่นี่จะเป็นค่ำคืนที่พิเศษอีกคืน หากมองไปรอบๆ จะเห็นทั้งโซนโต๊ะอาหาร เคาน์เตอร์หน้าบาร์ และที่น่าสนใจคือสเตจพร้อมเครื่องดนตรี ซึ่งรู้ได้ทันทีว่าเราจะได้เอ็นจอยไปกับดนตรีสดในอีกไม่ช้า
The Taste
เริ่มต้นค่ำคืนกับจาน Starter อย่าง Crab & Avocado (890 บาท) ปูเนื้อแน่นสดและอโวคาโด คลุกเคล้ากับมะเขือเทศเชอร์รี หอมแดงดองในน้ำส้มสายชู (Tropea Onion) น้ำเลมอน และมัสตาร์ด
ความหวานของหอมแดงดองและรสเปรี้ยวของเลมอนผสานกับความสดของวัตถุดิบช่วยเพิ่มความสดชื่นได้เป็นอย่างดี เหมาะจะเป็นจานแรกไม่ผิดเพี้ยน เข้ากันดีกับไวน์ขาวที่ทางร้านแนะนำมาแพริ่ง
ต่อกันที่ Bottarga & Raspberry (550 บาท) สลัดจานสวยที่แค่เห็นก็รู้สึกสดชื่นด้วยสีสันของราสป์เบอร์รี ส้ม เซเลอรี สลัดฟริเซ (Frisée Salad) บอตทาการ์ที่ทำจากไข่ปลากระบอก (Grey Mullet) และใบมินต์
เพียงคำแรกที่ตักเข้าปากถึงกับต้องอุทาน “หืมม” นี่คือสวรรค์ของคนรักผักจริงๆ ด้วยความสดของผักในทุกอณู ยิ่งกินคู่กับผลไม้สดหวาน และบอตทาการ์ที่ให้รสเค็มนัวเข้มข้นเข้ากันอย่างเหลือเชื่อ
ก่อนจะไปเข้าสู่จานหนักก็เหลือบไปเห็น Oyster Bar ของที่นี่ที่ดึงดูดสายตาไม่น้อย ซึ่งนับเป็นจังหวะดีที่เราไปในตอนที่ตัวบาร์เพิ่งแลนด์สดๆ ในร้าน เลยถือโอกาสลองหอยนางรมจากสามแหล่ง
เริ่มจาก SP. De Claire จากฝรั่งเศส ซึ่งใช้วิธีการดั้งเดิมของฝรั่งเศสโดยการเอาหอยนางรมไปอยู่ในกระชังจนเสร็จสิ้นขั้นตอนการเลี้ยง รสชาติจะมีความ Briny หรือเค็มจากน้ำทะเล มีเนื้อแน่น เคี้ยวสนุก
Barron Point จากอเมริกา ซึ่งมีวิธีเลี้ยงต่างจากฝรั่งเศสโดยสิ้นเชิง ด้วยการเลี้ยงในน้ำทะเลก่อนแล้วนำมาเลี้ยงบริเวณชายฝั่ง ทำให้มีกระบวนการไกลโคเจนที่ต้องกักเก็บอาหารไว้ใช้ จึงทำให้รสชาติมีความ Sweet & Buttery ค่อนข้างสูง
Zeeuwse ที่เป็นต้นตำรับจากเนเธอร์แลนด์ หอยนางรมมีการเติบโตในทะเลลึก ซึ่งทำให้การพัฒนารูปร่างและเนื้อมีมากกว่าตัวที่เลี้ยงริมฝั่ง รสชาติจะมีความอโรมาท้องทะเลค่อนข้างสูง และมีเนื้อที่แน่นท่ีสุดเมื่อเทียบกับสองแหล่งข้างต้น
หลังจากเรียกน้ำย่อยกันไปพอควรก็ขอมาเพิ่มคาร์บกันบ้าง ประเดิมด้วย Spaghetti Coastiera (1,590 บาท) สปาเก็ตตีกุ้งแดงที่ดูจะเป็นจานไฮไลต์ของที่นี่ ซึ่งการเสิร์ฟก็ไม่ธรรมดา เพราะเชฟเข็นรถออกมาทำให้สดๆ หน้าโต๊ะเลยทีเดียว ประหนึ่งได้ชม Cooking Show ไปในตัว
ขณะที่เชฟกำลังปรุงรสอย่างพิถีพิถันเราสังเกตเห็นว่าเชฟใส่ Olive Oil ในปริมาณที่น่าสะพรึง “มันเป็นการปรุงรสสไตล์อิตาเลียน” เชฟกล่าวพร้อมรอยยิ้มและเทออยล์ต่อไม่ยั้ง
ความน่าประหลาดใจคือหน้าตาจานสำเร็จนั้นดูไม่ได้มันเยิ้มแบบที่คิด และรสชาติก็มีความ Authentic ไม่ได้ปรุงจนเสียรสชาติวัตถุดิบดั้งเดิม ถ้าใครที่ชอบรสชาติละมุนมันนัวของชีสก็คงจะถูกใจกับซอส Buffalo Mozzarella ที่ราดมาอย่างฉ่ำด้วยแน่นอน
จานต่อมายังคงรักษารสชาติสไตล์อิตาเลียนไว้ได้ดังเดิมอย่าง Linguine Scallop (850 บาท) รายการใหม่ของที่นี่ เรื่องความสดของหอยเชลล์นั้นไม่มีข้อติงแต่อย่างใด จานนี้ค่อนข้างเหมาะกับใครที่ชอบรสชาติเบาๆ กินได้เรื่อยๆ
ส่งท้ายจานคาร์บกับ Risotto Nero e Ricci (990 บาท) ริซอตโตหมึกดำท็อปด้วยอูนิและหน่อไม้ฝรั่งซึ่งเป็นคอมบิเนชันที่ให้ความแปลกใหม่ไปอีกแบบ ตัวข้าวไม่ได้สุกจนเกินไป มีเท็กซ์เจอร์ให้เคี้ยวเพลินอยู่
และแล้วก็มาถึงจานหลักกับ Turbot (1,390 บาท) ปลาเทอร์บอตซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นราชาแห่งท้องทะเลด้วยเนื้อที่แน่นนุ่มละมุน เสิร์ฟคู่กับอาร์ติโชก มันฝรั่ง และหน่อไม้ฝรั่ง ค่อนข้างตอบโจทย์สายปลาที่ชอบรสชาติบาลานซ์ ไม่ปรุงรสมากจนเกินไป หรือถ้าใครกำลังควบคุมน้ำหนักจานนี้ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดี
แต่ถ้าเป็นสายเนื้อตัวจริงแนะนำให้สั่ง Flank Steak (990 บาท) สเต๊กเนื้อวากิวย่างระดับมีเดียมแรร์กำลังดี เสิร์ฟคู่กับผักย่าง ตัวเนื้อจะค่อนข้างปรุงรสมาพอสมควรแล้ว ดังนั้นสามารถกินเดี่ยวๆ หรือคู่กับผักย่างเพื่อตัดรสได้เลย
ส่งท้ายค่ำคืนสุดอิ่มเอมไปกับของหวานจานเด่นที่ทางร้านภูมิใจนำเสนอเป็นพิเศษกับ Tortino Pistacchio (490 บาท) เค้กไวต์ช็อกโกแลตเสิร์ฟร้อนๆ จากเตาที่หอมอบอวลไปด้วยถั่วพิสตาชิโอ ราดด้วยซอสช็อกโกแลตฉ่ำ รสชาติโดยรวมทำออกมาหวานกำลังดี เหมาะจะเป็นจานแชร์กับเพื่อนๆ
Good for
Coastiera เหมาะจะเป็นที่สำหรับแฮงเอาต์และฉลองโมเมนต์พิเศษด้วยบรรยากาศร้านอาหารสไตล์ไฟน์ไดนิ่งหรูแต่ในขณะเดียวกันก็มีความแคชวล ชวนผ่อนคลาย และแน่นอนว่าต้องถูกใจคออาหารอิตาเลียนกับวัตถุดิบคุณภาพสูงที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน หากอยากมาฟังดนตรีสดคนเดียวก็ไม่ต้องรู้สึกเคอะเขินเพราะที่นี่มีเก้าอี้หน้าบาร์รองรับด้วยเช่นกัน
Open: วันอังคาร-ศุกร์ เวลา 11.30-14.00 น. และวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 18.00-01.00 น. (ปิดทุกวันจันทร์)
Address: Level B, 140 Wireless Building, Witthayu Road
Tel.: 08 3884 6445, 0 2253 2110
Instagram: https://www.instagram.com/coastierabangkok/
Budget: เริ่มต้นที่ 450 บาท
ภาพ: ปวรุตม์ งามเอกอุดมพงศ์