“ผมมีคติประจำใจคือ Less Muscle More Skill ประมาณว่าตัวเล็กแต่ใจใหญ่ครับ”
นั่นคือคำนิยามตัวเองของ ก๊องส์-ธัชกร บัวศรี นักขับโมโตจีพีดาวรุ่งชาวไทย ที่จะลงแข่งขันที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ที่บุรีรัมย์ ในวันอาทิตย์นี้ (29 ตุลาคม) ในรุ่นโมโตทรี ด้วยฐานะนักขับไวลด์การ์ด ซึ่งเป็นโอกาสเดียวกับที่ ก้อง-สมเกียรติ จันทรา เคยได้รับเมื่อปี 2018
แม้ ก๊องส์ ธัชกร จะพูดถึงการแข่งขันครั้งนี้ด้วยความมั่นใจ แต่ก่อนการให้สัมภาษณ์เขาเต็มไปด้วยความประหม่า เพราะไม่ได้พูดคุยกับสื่อมวลชนมากนัก เขาถึงกับบอกว่า การให้สัมภาษณ์กับเรานั้น “ยากกว่าลงไปแข่งขัน” เสียอีก
คติประจำใจของเขาในข้างต้นนั้นหากใครเคยเจอกับเขาโดยตรงจะเข้าใจได้ไม่ยาก เนื่องจากนักบิดรายนี้ตัวไม่ใหญ่นัก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในการแข่งขัน เขาหวังว่าจะสามารถทำผลงานได้ดีกว่าที่ ก้อง สมเกียรติ ทำไว้เมื่อได้สิทธิ์ไวลด์การ์ดในปี 2018 นั่นคือการจบอันดับที่ 9
โดยธัชกรกล่าวว่า สนามนี้เขามั่นใจเต็มร้อย
“ทางทีมตั้งเป้าหมายว่าอยากให้ผมเก็บแต้มให้ได้ แต่เป้าหมายของผมเองก็อยากให้ดีกว่าพี่ก้อง (สมเกียรติ จันทรา) พี่ก้องทำไว้ที่ 9 ผมเลยอยากจะให้ติด 1 ใน 8 ครับ”
เราเริ่มการพูดคุยกับเขาด้วยบทสนทนาง่ายๆ ด้วยการถามเรื่องรอยสักที่แขนซ้าย ซึ่งมีคำว่า ‘Mom’ กับ ‘Dad’ อยู่ เขาเล่าให้ฟังว่าเป็นคนที่ชอบรอยสัก โดยเริ่มสักเมื่ออายุ 17 ปี และที่สักคำนี้เพราะครอบครัว ซึ่งหมายถึงทั้งพ่อและแม่ เป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของเขา และเป็นเหมือนเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
เขาเล่าต่อว่าเขาเดินในเส้นทางสายนี้เพราะพ่อของเขาให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยกล่าวว่า “ผมเดินทางสายนี้ก็เพราะพ่อครับ ท่านเป็นช่างซ่อม เคยแข่งมาก่อน แล้วไม่มีโอกาสครับ ก็เลยให้ผมลองขับเรื่อยมา และท่านให้ลองทำการแข่งขันครั้งแรกผมก็เข้าที่ 4 ท่านเลยคิดว่าเหมือนเราน่าจะไปได้ ท่านก็ค่อยๆ ผลักดันมาเรื่อยๆ จนถึงวันนี้”
ก๊องส์เล่าต่อไปว่าที่เลือกเส้นทางสายนักบิดเป็นเพราะว่าสามารถหารายได้ได้พอสมควร และยังเป็นความฝันส่วนตัวด้วย
“อย่างแรกเลยก็คือเรื่องของรายได้ครับ รายได้ก็พอได้ครับ แล้วก็ความฝันด้วยครับ นักขับเป็นงานอดิเรกอีกอย่าง เพราะผมไม่อยากติดเกมก็เลยหากิจกรรมและกีฬาทำครับ
“ผมมี พี่ฟิล์ม-รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ เป็นไอดอล เพราะว่าตอนที่ผมดูคือถ่ายช่อง 7 ครับ เห็นพี่เขาดังแล้วก็มีชื่อเสียงครับ”
นักขับชาวไทยเปิดเผยต่อไปว่า ตอนแรกๆ ที่เข้าวงการมาแข่งขันไปเพราะความสนุก และเชื่อว่าตัวเองมีฝีมืออยู่ไม่น้อย จนกระทั่งไประดับโลกในจูเนียร์จีพี ทำให้ได้เจอกับกำแพงครั้งสำคัญในชีวิต แต่เขาก็ไม่ได้ย่อท้อ และใช้คำดูถูกที่ได้รับมาเป็นแรงผลักดันให้ก้าวต่อไป
“ตอนเป็นเด็ก ผมน่าจะไม่ได้คิดอะไรครับ แค่สนุกครับ ขี่เพราะความสนุก มันก็ทำให้เราขี่ต่อไปได้ เลยมีผลงานดีๆ เรื่อยๆ พอเริ่มโต ระดับรุ่นสูงขึ้น เราก็ต้องมีความมั่นใจและความตั้งใจที่มากขึ้นครับ มีสมาธิมากขึ้นด้วยครับ มันก็จะค่อยๆ ยากขึ้นไปทีละระดับ
“สำหรับผมที่ยากที่สุดคือตอนที่ข้ามมาจูเนียร์จีพีครับ เพราะจูเนียร์จีพีมันคือจูเนียร์เวิลด์แชมเปียนชิป คือการรวมนักแข่งรุ่นเล็กที่จะไปโมโตทรีทุกคนเลยครับ เลยทำให้ผมรู้สึกว่ายาก
“ตอนนั้นเราต้องแข่งขันกับยอดฝีมือรุ่นเดียวกับเรา ตอนที่แข่งขันในเอเชียทาเลนต์ระดับเอเชียผมก็ไม่ได้แย่ ผมอยู่ในระดับหัวแถว เข้าที่ 1 บ้าง ที่ 2 บ้าง ขึ้นโพเดียมตลอด เรามีความมั่นใจมาก แต่พอไปถึงระดับจูเนียร์จีพีปีแรก-สนามแรก เราไปอยู่ท้ายแถวเลย ทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องพัฒนาอีกเยอะ ยังมีคนที่เก่งกว่าเราอีกเยอะเลยครับ
“ตอนนั้นผมต้องพัฒนาตัวเอง ผมก็เอาคำดูถูกของคนอื่นมาเป็นแรงผลักดันแล้วคงความรู้สึกกระหายชัยชนะไว้ คิดตลอดว่าอยากจะชนะให้มากกว่านี้ครับ
“พอมองย้อนกลับไปก็คิดว่ามาไกลมากแล้วครับ แต่สำหรับผมแล้ว ผมมองว่ายังไม่พอครับ อยากไปให้ไกลกว่านี้ครับ
“นักแข่งทุกคนตั้งเป้าหมายว่าอยากเป็นนักแข่งโมโตจีพีครับ แม้แต่ตัวผมเองก็อยากเป็นแชมป์โลกโมโตจีพีครับ ส่วนในปีหน้าและปีต่อๆ ไปผมก็ตั้งเป้าไว้ว่าอยากให้เป็นประวัติศาสตร์หมดเลยครับ อย่าง Best Lab หรืออย่างไม่มีใครเคยขึ้นโพเดียมในรายการโมโตทรี (ทั้งที่ยังเป็นจูเนียร์จีพี) ผมก็อยากทำให้ได้ แล้วก็อยากจะคว้าแต้ม อยากจะให้คะแนนติดท็อป 5 ให้ได้ครับ”
แรงผลักดันของธัชกรในช่วงที่ผ่านมาแสดงออกผ่านตารางคะแนนจูเนียร์กรังด์ปรีซ์เวิลด์แชมเปียนชิป เพราะหลังจากคว้าได้เพียง 15 คะแนน จาก 5 สนามแรก ก๊องส์ก็ทำผลงานในช่วง 5 นาทีถัดมาได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการเก็บเพิ่มอีกถึง 44 คะแนน ทำให้มีคะแนนรวมเป็น 59 คะแนน ขึ้นมารั้งท็อป 10 ในตารางคะแนนรวมตอนนี้ได้ด้วย
ที่ยอดเยี่ยมกว่านั้น ก๊องส์ยังขึ้นโพเดียมได้สำเร็จแล้วในฤดูกาลนี้ ด้วยการคว้าอันดับที่ 2 ในสนามที่อัลการ์ฟอินเตอร์เนชันแนลเซอร์กิต เมืองปอร์ติเมา ประเทศโปรตุเกส เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมาด้วย
ดังนั้นการได้ไวลด์การ์ดมาแข่งขันในโมโตทรีที่บุรีรัมย์ในคราวนี้ จึงกลายเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่เขาต้องทำผลงานให้ดีที่สุด เพราะในปี 2018 ก้อง-สมเกียรติ จันทรา ก็ได้รับโอกาสนี้จนสามารถต่อยอดไปสู่การเป็นนักขับโมโตทูได้สำเร็จ
โดยธัชกรยอมรับว่าตื่นเต้นสำหรับโอกาสที่ได้รับ และหวังที่จะทำผลงานในสนามนี้ให้ดีที่สุด
“อย่างแรกนะครับ ผมรู้สึกตื่นเต้น แล้วก็รู้สึกขอบคุณที่ได้รับโอกาสดีๆ ในครั้งนี้ สนามนี้มีความสำคัญกับผมมาก มันจะทำให้ผมรู้ว่าศักยภาพของผมอยู่ตรงไหน แล้วยังเป็นสนามโฮมเรซ แต่รถอาจจะไม่ได้สูสีอะไรมาก (เพราะใช้รถรุ่นจูเนียร์จีพีที่ศักยภาพด้อยกว่าอยู่บ้าง) แต่ก็พอตามเขาทันอยู่ครับ
“รถอาจจะไม่ต่างกันมาก แต่อาจจะเป็นเรื่องของอะไหล่บางตัว แต่ที่แตกต่างกันนิดหนึ่งนั้นคือในทุกๆ โค้งจะทำให้ระยะของรถโมโตทรียืดออกไปได้ อาจจะมีช่วงดรอป เช่น ทางตรง เราอาจจะแซงเขาไม่ได้ แต่อาจจะจี้ติดได้”
สุดท้ายนี้ ก๊องส์ ธัชกร ยังฝากไปถึงแฟนๆ มอเตอร์สปอร์ตชาวไทยให้ร่วมส่งแรงเชียร์ถึงเขาและนักขับชาวไทยทุกคนให้ทำผลงานให้ดีที่สุดในการแข่งขันสุดสัปดาห์นี้ด้วย
“อยากจะฝากพี่น้องชาวไทย มาให้กำลังใจและร่วมเชียร์พวกผมที่สนามบุรีรัมย์ครับ ในวันอาทิตย์นี้ (29 ตุลาคม) พวกผมจะทำให้เต็มที่ และคว้าโพเดียมมาให้ได้ครับ”
แม้ตอนนี้ชื่อของ ก๊องส์-ธัชกร บัวศรี อาจจะยังไม่ติดหูแฟนๆ ชาวไทย แต่ในอนาคตอันใกล้ ชื่อนี้อาจจะเป็นที่พูดถึงอย่างมากก็เป็นได้หากเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการแข่งขันที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ในช่วงสุดสัปดาห์นี้
โดยแฟนๆ สามารถร่วมชมและเชียร์ ก๊องส์-ธัชกร บัวศรี ในการแข่งขันของเขาได้ในวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคมนี้ โดยในรุ่นโมโตทรีแข่งขันกัน 19 รอบสนาม ออกสตาร์ทเวลา 12.00 น. เป็นต้นไป