บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ตั้งเป้าอนุมัติวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ 120,000 ล้านบาทในปี 2566 พร้อมกับยกระดับการเข้าถึงผู้ประกอบการ SMEs ผ่านช่องทางดิจิทัล
สิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ในปี 2565 บสย. ได้อนุมัติวงเงินค้ำประกันสินเชื่อรวม 143,000 ล้านบาท ช่วยวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เข้าถึงสินเชื่อรวม 82,747 ราย, สร้างสินเชื่อในระบบ 157,919 ล้านบาท, รักษาการจ้างงานรวม 1,042,787 ตำแหน่ง, สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 594,712 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าอนุมัติวงเงินค้ำประกันสินเชื่อในปี 2566 ที่ 120,000 ล้านบาท
“สำหรับในปี 2566 ตัวเลขการเข้าถึง SMEs และการรักษาการจ้างงานไม่น่าแตกต่างจากเดิมมาก โดยเป็นไปตามเป้าหมายอนุมัติวงเงินค้ำประกันสินเชื่อในปี 2566 ที่ 120,000 ล้านบาทที่ตั้งไว้ SMEs ที่เข้าถึงสินเชื่อน่าจะมากกว่า 85,000 คน และน่าจะรักษาการจ้างงานได้มากกว่า 1,000,000 ตำแหน่ง” สิทธิกรกล่าว โดยในปีนี้ บสย. ยังตั้งเป้ายกระดับการเข้าถึงผู้ประกอบการ SMEs ด้วยดิจิทัลเทคโนโลยี รวมถึงช่องทาง LINE @tcgfirst ด้วย
กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. ชี้แจงว่า สาเหตุที่อนุมัติวงเงินค้ำประกันสินเชื่อในปี 2565 ลดลงไปอย่างมากเมื่อเทียบกับปี 2564 เป็นผลมาจากมาตรการสนับสนุนที่สูงในช่วงเกิดการระบาด ค่อยๆ ลดลงกลับสู่ระดับปกติ
“ในปี 2564 การอนุมัติการค้ำประกันของ บสย. แตะระดับ 245,000 ล้านบาท นับว่าสูงกว่าปกติ เนื่องมาจากมาตรการช่วยเหลือที่ส่งต่อมายัง บสย. แต่วันนี้ยอดการค้ำประกันที่ลดลงแสดงให้เห็นว่าเรากำลังกลับไปสู่ความปกติ (Normal) แล้ว” สิทธิกรกล่าว
นอกจากนี้สิทธิกรยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเติมสภาพคล่องให้แก่ SMEs ซึ่งมีมูลค่าต่อ GDP สูงถึง 34% ดังนั้นการที่ บสย. เข้าไปดูแลสภาพคล่องให้กับ SMEs จึงเป็นส่วนสำคัญ มากกว่านั้น SMEs ยังครองสัดส่วนการจ้างงานถึง 70% ด้วย ฉะนั้นการที่ SMEs มีสภาพคล่องที่ดีจึงจะเป็นกลไกขับเคลื่อนให้กับเศรษฐกิจไทยได้