ตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ปากีสถานเผชิญหน้ากับฤดูมรสุมที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าปีก่อนๆ ฝนที่ตกลงมากอย่างหนักทำให้น้ำในแม่น้ำหลายสายเอ่อล้น ระดับน้ำในหลายพื้นที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว กระทบพลเรือนกว่า 33 ล้านรายแล้ว
โดยหน่วยงานด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติแห่งชาติปากีสถานอย่าง NDMA รายงานว่า ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 1,136 ราย ได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 1,634 ราย และมีพลเมืองราว 20,000 ราย ต้องการอาหาร น้ำดื่ม และยารักษาโรค อย่างเร่งด่วน โดยตัวเลขเหล่านี้มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อัชซาน อิกบัล รัฐมนตรีด้านผังเมืองในรัฐบาลปากีสถานชุดปัจจุบัน ประเมินมูลค่าความเสียหายจากวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ในครั้งนี้ว่าสูงกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.6 แสนล้านบาทแล้ว โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (29 สิงหาคม) กองทุน IMF ได้เสนอแผนและมอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้นราว 1.17 พันล้านดอลลาร์แล้ว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานปี 2019 ที่ต้องการให้เศรษฐกิจปากีสถานกลับมามั่นคงและเติบโตได้อย่างสมดุล แต่อย่างไรก็ตาม แนวทาง IMF ก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก มาตรการรัดเข็มขัดสร้างแรงผลักดันให้รัฐบาลปากีสถานขึ้นราคาน้ำมันและไฟฟ้า ท่ามกางวิกฤตเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น
รู้หรือไม่ จากรายงานดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศโลก ปี 2021 (Global Climate Risk Index 2021) โดย Germanwatch ปากีสถานรั้งอันดับ 7 ใน 10 อันดับประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศในระยะยาวในช่วงปี 2000-2019 ที่ผ่านมา มีค่าดัชนี CRI อยู่ที่ 28.33 ขณะที่เปอร์โตริโกรั้งอันดับ 1 จากหัวตาราง ตามมาด้วยเมียนมา, เฮติ, ฟิลิปปินส์ ส่วนไทยรั้งอันดับที่ 9 จากการจัดอันดับในครั้งนี้ มีค่าดัชนี CRI อยู่ที่ 29.83
อ้างอิง:
