เจ้าหน้าที่ดับเพลิงและหน่วยกู้ภัยสหรัฐฯ ยังคงพยายามเร่งขุดค้นหาผู้รอดชีวิต ภายหลังเกิดเหตุอาคารคอนโดมิเนียมริมชายหาดขนาด 12 ชั้น ในเมืองเซิร์ฟไซด์ เขตไมอามีเดด ทางตอนใต้ของรัฐฟลอริดา พังถล่มลงมาบางส่วนเมื่อช่วงเช้ามืดวานนี้ (24 มิถุนายน) ตามเวลาท้องถิ่น
ซึ่งล่าสุดมีรายงานผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 1 คน และยังสูญหายอีก 99 คน ขณะที่นายกเทศมนตรีเขตไมอามีเดดเปิดเผยว่า พบผู้รอดชีวิตแล้ว 102 คน ซึ่งในจำนวนนี้ 35 คน ถูกช่วยเหลือออกมาจากใต้เศษซากอาคารและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว
จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่า ห้องพักจำนวน 55 ห้อง จากทั้งหมด 136 ห้องของอาคารคอนโดมิเนียมที่เกิดเหตุชื่อว่า Champlain Towers South พังถล่มลงมาในช่วงเวลาประมาณ 01.30 น. ของเมื่อวานนี้ (24 มิถุนายน) ตามเวลาท้องถิ่น
เบื้องต้นยังไม่แน่ชัดว่าระหว่างเกิดเหตุมีผู้พักอาศัยอยู่ภายในอาคารกี่คน แต่คาดว่าในจำนวนผู้สูญหายมีผู้อพยพจากประเทศแถบลาตินอเมริการวมอยู่ด้วย
ซึ่งเจ้าหน้าที่กู้ภัยยังคงพยายามเร่งค้นหาผู้สูญหายที่คาดว่าถูกฝังอยู่ใต้ซากอาคารอย่างต่อเนื่อง โดยมีการใช้สุนัขดมกลิ่นพร้อมด้วยอุปกรณ์ค้นหาด้วยคลื่นโซนาร์และกล้องตรวจหา และกำลังทำการค้นหาจากในส่วนที่จอดรถใต้ดิน ซึ่งการค้นหาทำได้อย่างช้าๆ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ซากคอนกรีตขยับและอาจเกิดการถล่ม
สำหรับสาเหตุที่ทำให้อาคารพังถล่มยังอยู่ระหว่างการสืบสวน ซึ่งอาคารหลังนี้ตั้งอยู่ใกล้ชายหาดไมอามีและถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1980
นิโคลัส บัลโบ หนึ่งในพยานที่เห็นเหตุการณ์ ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุและได้ช่วยเหลือเด็กชายผู้รอดชีวิตคนหนึ่งจากใต้ซากอาคาร เปิดเผยต่อสำนักข่าว CNN ว่า รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนก่อนที่จะเห็นฝุ่นควันและซากอาคารที่พังถล่มลงมา
ซึ่งเขาและชายอีกคนหนึ่งได้เข้าไปตรวจสอบและได้ยินเสียงร้องของเด็กชายที่ถูกฝังอยู่ใต้เศษซาก ก่อนจะเดินเข้าไปดูและพบว่ามีเด็กยื่นมือออกมาจากซากคอนกรีตเพื่อขอความช่วยเหลือ กระทั่งตำรวจและหน่วยกู้ภัยมาถึงจึงช่วยกันนำตัวเด็กชายออกมาได้