พบตัวช่วยเล็กๆ น้อยๆ ประจำเดือน ที่ทำให้คุณภาพชีวิตของคุณดีขึ้น ไม่ว่าจะในแง่สุขภาพ การออกกำลังกาย การนอน หรือแม้แต่สภาพจิตใจ
Product of the month: Adidas Pure Boost Go
นับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา แบรนด์รองเท้ากีฬาต่างๆ ได้ทยอยเปิดตัวรองเท้ากีฬากันหลากหลายรุ่น หนึ่งในนั่นต้องยกให้ Adidas Pure Boost Go ที่ตามรุ่นพี่อย่าง Ultra Boost 19 มาติดๆ แต่ด้วยคุณสมบัติ คาแรกเตอร์ และราคาที่ต่างกันมาก จึงถือเป็นการคัดแยกกลุ่มลูกค้าที่เป็นแฟนพันธ์ุแท้ของเทคโนโลยีบูสต์ไปในตัว เพราะทั้งสองรุ่นล้วนใช้เทคโนโลยีบูสต์เหมือนกัน แต่เมื่อใส่แล้วต่างกันอย่างรู้สึกได้
สีดำแซมเขียวเข้มส้ม (Black with Ivy/Orange)
หลังจากเปิดตัวครั้งแรกไปเมื่อกลางปี 2018 ก็มีสีใหม่ออกมาเรื่อยๆ จนมาถึงคอลเล็กชันล่าสุดที่ Adidas Pure Boost Go ตั้งใจตีตลาดนักวิ่งสายสตรีท หรือผู้ที่ชื่นชอบการวิ่งซิตี้รัน ที่ต้องซอกแซก หลบหลีก วิ่งเปลี่ยนทิศทางบ่อยๆ เนื่องจากตัวรองเท้ามาพร้อมพื้นที่กว้างเป็นพิเศษ เพิ่มความมั่นคง โดยเฉพาะส่วนหน้าเท้าที่เห็นได้เลยว่า บานออกจากตัวรองเท้าค่อนข้างมาก ด้วยการออกแบบลักษณะนี้เองที่ทำให้ผู้สวมใส่สามารถเปลี่ยนทิศทางและเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องตัว
สีเขียวมินต์ (Clear Mint)
นอกจากสองสีใหม่อย่างสีดำแซมเขียวเข้มส้ม (Black with Ivy/Orange) และสีเขียวมินต์ (Clear Mint) แล้ว ยังมีการปรับเปลี่ยนอีกบางจุด เริ่มจากส่วน Upper ที่ใช้เส้นใยไคลมา (Clima Moisture Management Yarns) ช่วยเรื่องการระบายอากาศและความชื้น ใส่วิ่งนานๆ เหงื่อออกแล้วไม่ร้อนหรือเหนอะหนะเท้า อีกทั้งยังสามารถสะท้อนแสงในที่มืดได้อีกด้วย ซึ่งช่วยได้มากในกรณีที่คุณวิ่งในเมืองยามค่ำคืนหรือเช้ามืด เพราะบางจุดในกรุงเทพฯ มันก็มืดจริงๆ นั่นแหละ ของใหม่อีกจุด ได้แก่ ตัวพื้นรองเท้าที่เป็นยาง EVA ไล่สี แต่ให้มาไม่เต็มแผ่น มีลักษณะเป็นปุ่มยึด ส่วนพื้นชั้นกลางยังคงใช้โฟม แต่ไม่หนามาก การรับแรงกระแทกหรือการคืนแรงอาจจะแพ้ตัว Ultra Boost 19 อยู่บ้าง แต่ก็แลกมากับน้ำหนักตัวที่เบาขึ้น
บรรยากาศในงาน On-The-Go City Hunt
What We Think: หลังจากได้ลองใส่คู่นี้วิ่งในงาน On-The-Go City Hunt ซึ่งเป็นการวิ่งในเมืองย่านสยามสแควร์ไปสามย่าน ก่อนกลับมาที่จุดปล่อยตัว ตลอดเส้นทางวิ่งมีด่านต่างๆ ให้ได้ทดสอบสมรรถนะของรองเท้ากันอย่างครบเครื่อง ทั้งวิ่งซิกแซก ซอยเท้า วิ่งสปรินต์ วิ่งยาวๆ บนฟุตบาท วิ่งแล้วหยุดกะทันหัน ฯลฯ เรียกได้ว่า ลองกันทุกรูปแบบ บวกกับหลังจากนั้นมีโอกาสได้ลองใส่เพื่อซ้อมวิ่งบนเทรดมิลล์ และวิ่งในสวนสาธารณะ จากความคิดเห็นส่วนตัว เราว่าน้ำหนักของรองเท้าเบาขึ้นจริง แต่แรงยึดเกาะยังไม่ถือว่าแน่นกริบนัก คนที่ไม่เคยใส่รองเท้าที่พื้นค่อนข้างสูงอาจยังไม่ชิน แต่ก็ถือว่าเป็นรองเท้าที่ใส่ง่าย นุ่ม เด้ง คืนแรงดี เหมาะกับการใส่วิ่งเริ่มต้นที่ระยะ 5 หรือ 10 กิโลเมตร หรือนักวิ่งสายชิลที่ไม่ได้เน้น Performance จัดๆ และด้วยราคาที่กำลังน่ารักอย่าง 4,500 บาท ทำให้ Adidas Pure Boost Go น่าจะเป็นรองเท้าวิ่งที่ได้รับความนิยมในหมู่นักวิ่งหน้าใหม่ วิ่งใสๆ ก่อนพัฒนาไปสู่ระดับที่แอดวานซ์ยิ่งขึ้น
สมาร์ทวอตช์ราคาสบายกระเป๋า: Fitbit Inspire HR
ในบรรดาสมาร์ทวอตช์เพื่อสุขภาพของ Fitbit ที่ยกทัพเปิดตัวไปเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา Fitbit Inspire HR นับเป็นรุ่นเริ่มต้นที่มาพร้อมฟีเจอร์พื้นฐาน ที่ตอกย้ำการเป็นสมาร์ทวอตช์ในราคาที่ไม่ว่าใครก็เข้าถึงได้ เพราะจุดเด่นของรุ่นนี้อยู่ที่ราคาที่เคาะมาเพียง 3,790 บาทเท่านั้น แต่สามารถใช้ตามติดการออกกำลังกายได้เสมือนสมาร์ทวอตช์ระดับท็อป เช่น ติดตามการทำกิจกรรมได้ตลอดทั้งวัน ทั้งการเดิน ออกกำลังกาย และการนอน มีโหมดการออกกำลังกายให้เลือก 15 แบบ ครอบคลุมทั้งสายวิ่ง ว่าย ปั่น เวทเทรนนิ่ง ฯลฯ สามารถคำนวณแคลอรีที่เผาผลาญในแต่ละวัน กันน้ำลึก 50 เมตร มีระบบเตือนให้ฝึกการทำสมาธิ อีกทั้งยังสามารถตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจได้อีกด้วย ทั้งหมดนี้ทำงานควบคู่กับแอปพลิเคชันในมือถือที่ Fitbit ถือว่าทำออกมาได้ดี ดีไซน์เรียบๆ บางเบา ใส่แล้วเหมือนไม่รู้ว่าใส่อยู่ (ใส่นอนได้สบายเลย)
ถามว่าถ้าใช้ดีขนาดนี้แล้วเรายังจะใช้สมาร์ทวอตช์ราคาแพงไปทำไมกัน? ก็เพราะมันยังมีบางอย่างที่ติดขัด เช่น การที่มีระบบแจ้งเตือนสายเรียกเข้าและข้อความ แต่ไม่สามารถตอบกลับได้ ไม่มี GPS ทำให้เราต้องพกมือถือไปด้วยตลอด หากต้องการคำนวณค่าต่างๆ ขณะวิ่งหรือปั่น หรือระบบหยุดโดยอัตโนมัติเมื่อเราหยุดวิ่งหรือหยุดออกกำลังกาย และเมื่อเปิดใช้งานโหมดออกกำลังกาย หน้าจอสามารถแสดงผลได้ทีละอย่าง (หากกำลังจับเวลา แต่ต้องการเช็กอัตราการเต้นของหัวใจ ต้องใช้นิ้วเลื่อนไปทีละหน้าจนเจอ) แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เมื่อเทียบกับค่าตัวและแบตเตอรี่ที่อยู่ได้นานกว่า 5 วันแล้ว เรื่องพวกนั้นก็พอหยวนๆ กันไปได้
(ซ้าย) Fitbit Inspire HR (ขวา) หน้าตาแอปพลิเคชัน Fitbit
ใส่แล้วฟิต: UA RUSH
หลังปฏิวัติวงการเสื้อกีฬาครั้งแรกในปี 2539 ดูเหมือน Under Amour ก็ไม่เคยหยุดนิ่งเรื่องการนำนวัตกรรมมาใช้ในเสื้อผ้าออกกำลังกาย เช่น ในปี 2561 ที่ทางแบรนด์เปิดตัวชุดนอนเพื่อการฟื้นฟู ซึ่งใช้เทคโนโลยี TB12 และร่วมมือกับ ทอม เบรดี ควอเตอร์แบ็กเจ้าของแชมป์ซูเปอร์โบวล์ 6 สมัย โดยใช้ Celliant เทคโนโลยีประยุกต์แร่ธาตุเพื่อสร้างเนื้อผ้า ที่ตอบสนองต่อความร้อนของร่างกายให้นักกีฬาใส่หลังจบเกม หรือหลังออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายสามารถฟื้นฟูแบบเร่งด่วน มาปีนี้พวกเขาร่วมมือกันอีกครั้งเพื่อสร้าง UA RUSH ไลน์เสื้อผ้าล่าสุดที่ออกแบบมาให้สวมใส่ขณะเหงื่อออก อาศัยการคายความร้อนระหว่างออกกำลังกาย ก่อนที่จะดูดซึมความร้อนเหล่านั้น แล้วเปลี่ยนเป็นพลังอินฟราเรดกลับคืนสู่ร่างกายเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้ร่างกายมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ฟื้นฟูร่างกายได้ดียิ่งขึ้น เหมาะทั้งใส่เล่นกีฬาและเทรนนิ่ง ออกทั้งคอลเล็กชันของผู้หญิงและผู้ชาย มีทั้งเสื้อยืดรัดรูป เชิ้ตแขนยาว เลกกิ้ง กางเกงรัดรูป และสปอร์ตบรา ใครเข้าช้อป Under Armour บ่อยๆ ลองสังเกตุสัญลักษณ์ UA RUSH บนเสื้อผ้าให้ดี
คอลเล็กชัน UA RUSH
Photo: COURTESY OF BRANDS
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
