OpenAI กลายเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่จ่ายค่าตอบแทนพนักงานในรูปแบบหุ้น (Stock-based Compensation) สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมสตาร์ตอัปเทคโนโลยี ตามข้อมูลทางการเงินที่บริษัทเปิดเผยต่อนักลงทุน และการวิเคราะห์ของ The Wall Street Journal
ข้อมูลระบุว่า ในปี 2025 OpenAI มีค่าตอบแทนแบบหุ้นเฉลี่ยสูงถึง 1.5 ล้านดอลลาร์ต่อพนักงานหนึ่งคน สำหรับพนักงานราว 4,000 คน ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ทุกแห่งก่อนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) นับตั้งแต่ปี 2000

เมื่อเปรียบเทียบย้อนหลัง ค่าตอบแทนดังกล่าวสูงกว่า Alphabet (Google) ก่อน IPO ในปี 2004 ถึงกว่า 7 เท่า และสูงกว่าค่าเฉลี่ยค่าตอบแทนพนักงานของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 18 แห่งก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ถึง 34 เท่า ตามข้อมูลที่จัดทำโดย Equilar และนำมาวิเคราะห์โดย The Wall Street Journal ครอบคลุม IPO ภาคเทคโนโลยีตลอด 25 ปีที่ผ่านมา โดยตัวเลขทั้งหมดถูกปรับเป็นมูลค่าเงินปี 2025 เพื่อสะท้อนผลของเงินเฟ้อ
การทุ่มจ่ายค่าตอบแทนดังกล่าวสะท้อนการแข่งขันที่รุนแรงในสนาม AI arms race โดย OpenAI ใช้แพ็กเกจหุ้นมูลค่าสูงเพื่อรักษาความได้เปรียบในการดึงดูดและรักษานักวิจัยและวิศวกรระดับแนวหน้า ส่งผลให้พนักงานบางส่วนกลายเป็นกลุ่มรายได้สูงที่สุดในซิลิคอนวัลเลย์ อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ยังเร่งให้ผลขาดทุนจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น และก่อให้เกิดการลดสัดส่วนการถือหุ้น (Dilution) ของผู้ถือหุ้นเดิมอย่างรวดเร็ว
แรงกดดันด้านค่าตอบแทนทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงกลางปีที่ผ่านมา หลัง Mark Zuckerberg ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Meta Platforms เปิดเกมรุกแย่งตัวบุคลากร AI ด้วยแพ็กเกจค่าตอบแทนมูลค่าสูงระดับ หลายร้อยล้านดอลลาร์ และในบางกรณีแตะระดับ 1 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ OpenAI สูญเสียบุคลากรไปมากกว่า 20 คน รวมถึงหนึ่งในผู้ร่วมพัฒนา ChatGPT
เพื่อตอบโต้การแข่งขันดังกล่าว OpenAI ได้มอบโบนัสพิเศษแบบครั้งเดียวให้กับพนักงานสายวิจัยและวิศวกรรมในเดือนสิงหาคม โดยบางรายได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินหลายล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ข้อมูลที่เปิดเผยต่อนักลงทุนยังระบุว่า ค่าใช้จ่ายด้านค่าตอบแทนแบบหุ้นของ OpenAI มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ย ราว 3 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ไปจนถึงปี 2030
ล่าสุด OpenAI ยังประกาศยกเลิกนโยบายที่กำหนดให้พนักงานต้องทำงานอย่างน้อย 6 เดือนก่อนสิทธิหุ้นจะเริ่มทยอยได้รับ (vesting) ซึ่งอาจเปิดทางให้ต้นทุนค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นอีกในระยะถัดไป
ในเชิงโครงสร้างทางการเงิน ค่าตอบแทนแบบหุ้นของ OpenAI คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 46% ของรายได้ในปี 2025 สูงที่สุดในบรรดาบริษัทเทคโนโลยีที่นำมาเปรียบเทียบ ยกเว้น Rivian ซึ่งไม่มีรายได้ในปีก่อน IPO โดย Palantir มีสัดส่วนอยู่ที่ 33%, Google 15% และ Meta เพียง 6%
ขณะที่ค่าเฉลี่ยของบริษัทเทคโนโลยีทั้งหมดที่ถูกนำมาวิเคราะห์ พบว่าค่าตอบแทนแบบหุ้นคิดเป็นเพียง ประมาณ 6% ของรายได้ ในปีก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์
จากรายงานเชิงวิเคราะห์ครั้งนี้ ตอกย้ำว่า OpenAI กำลังเดิมพันอนาคตของบริษัทไว้กับ ‘ทุนมนุษย์’ อย่างชัดเจน โดยเลือกแลกต้นทุนทางการเงินในระยะสั้น เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม AI ซึ่งกำลังกลายเป็นสนามแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ของโลกเทคโนโลยี
ทั้งนี้ OpenAI ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เป็นที่รู้จักจากผลิตภัณฑ์ ChatGPT และระบบปัญญาประดิษฐ์รุ่นใหญ่หลายตัว ได้ปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่เพื่อให้สอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจและการระดมทุนระดับโลก โดยตั้งเป้าที่จะรักษา ‘พันธกิจเพื่อมวลมนุษยชาติ’ ไว้ควบคู่กับความสามารถในการดำเนินธุรกิจเชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืน
บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2015 ในฐานะองค์กร ไม่แสวงหากำไร (nonprofit) ที่มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนา AI ให้เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ โดยองค์กรต้นสังกัดนี้ทำหน้าที่กำกับดูแลกลยุทธ์และพันธกิจหลักของ OpenAI ตั้งแต่เริ่มต้น
OpenAI
อย่างไรก็ตาม ในปี 2025 OpenAI ได้ประกาศ เปลี่ยนโครงสร้างองค์กรธุรกิจของตนเป็น ‘Public Benefit Corporation’ (PBC) ซึ่งเป็นรูปแบบบริษัทที่แสวงหากำไรได้ แต่ต้องผสานเป้าหมายด้านสาธารณะและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกิจหลักขององค์กรและเพื่อเปิดช่องทางระดมทุนที่กว้างขึ้น โดยบริษัทภายใต้โครงสร้างนี้มีชื่อว่า OpenAI Group PBC
ภายใต้โครงสร้างใหม่นี้
- OpenAI Foundation ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรหลัก ยังคงอยู่และมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลทิศทางของบริษัทเชิงนโยบาย
- ส่วนธุรกิจที่ดำเนินกิจกรรมเชิงพาณิชย์ เช่น การพัฒนาและให้บริการเทคโนโลยี AI อยู่ภายใต้ OpenAI Group PBC ซึ่งจัดตั้งเป็นบริษัทเพื่อประโยชน์สาธารณะ
OpenAI Foundation ยังถือหุ้นใน OpenAI Group PBC อยู่ แม้จะไม่ใช่องค์กรพาณิชย์โดยตรงก็ตาม โดยส่วนหนึ่งของเป้าหมายโครงสร้างดังกล่าวคือการผสาน พันธกิจที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เข้ากับ ศักยภาพในการระดมทุนและการเติบโตเชิงธุรกิจ ซึ่งต่างจากโครงสร้าง nonprofit แบบดั้งเดิมที่มีข้อจำกัดด้านการระดมทุน
ภาพ: Justin Sullivan/Getty Images
อ้างอิง:


