จากกรณีสหรัฐฯ ลงนามข้อตกลงการค้าและแร่หายากหลายฉบับกับ 4 ประเทศคู่ค้าในอาเซียน ท่ามกลางการควบคุมการส่งออกแร่หายากที่เข้มงวดขึ้น จากจีน โดย ‘ไทย-สหรัฐฯ’ ลงนาม MOU สร้างความร่วมมือพัฒนาห่วงโซ่อุปทานอุปทาน เพื่อเสริมความมั่นคงเศรษฐกิจและการลงทุนในระดับโลก
ส่งผลให้เกิดประเด็นที่น่าสนใจคือการผลิตแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth Elements) ในประเทศไทย มีมากน้อยแค่ไหน อย่างไร
‘ไทย-สหรัฐฯ’ หวัง เสริมความมั่นคงเศรษฐกิจ การลงทุน ซัพพลายเชนโลก
อดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ อธิบายว่า ที่ผ่านมา ประเทศไทยไม่มีเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ และจากข้อมูลเบื้องต้นยังไม่มีแหล่งที่มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์
ดังนั้น การลงนามใน MOU นี้จะช่วยส่งเสริมความมั่นคงและยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญในประเทศไทย โดยเฉพาะในด้านการสำรวจ การแปรรูป และการใช้ประโยชน์จากแร่ธาตุที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆ
เช่น พลังงานสะอาด และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่กระทรวงอุตสาหกรรม ที่มุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าภายในประเทศและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาแหล่งทรัพยากรในประเทศ
ดังนั้น “ปัจจุบันประเทศไทย ยังไม่มีเหมืองแร่หายากที่มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ ข้อมูลที่ระบุว่าไทยเป็นผู้ส่งออกแร่หายากอันดับต้นๆ ของโลกนั้น เป็นเพียงผลจากการนำเข้าวัตถุดิบแร่จากต่างประเทศมา ‘แต่งแร่’ แล้วส่งออกต่อ ไม่ได้เกิดจากทรัพยากรภายในประเทศ”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- อีกนานไหม กว่าไทยจะมีเหมืองลิเธียม? เจาะเบื้องลึกอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
- ไขคำตอบมูลค่าที่ซ่อนอยู่…40 ปีผ่านไป ทำไมเหมืองโพแทชไทยยังไม่เกิด
- ‘แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน’ เปรียบเสมือนหัวใจของรถยนต์ไฟฟ้า พิมพ์ภัทราเร่งสำรวจและจัดหาแหล่งลิเธียมที่มีศักยภาพในไทย 2 แห่ง รับคลื่นอุตสาหกรรม EV
กรณีที่ กระแสข่าวระบุว่าไทยยกแร่หายากให้สหรัฐฯนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะเรายังไม่มีแหล่งผลิตในประเทศ และการสำรวจหรือการลงทุนใดๆ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทยอย่างเคร่งครัด รวมถึงมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
สำหรับข้อตกลงนี้ ได้ผ่านการตรวจสอบและหารือจากหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานด้านความมั่นคง โดยมีการต่อรองถ้อยคำในเอกสารหลายรอบ เพื่อให้มั่นใจว่าไทยจะได้รับประโยชน์สูงสุด และไม่กระทบต่ออธิปไตยด้านทรัพยากรธรรมชาติ
“มองว่า MOU นี้คือโอกาสในการยกระดับเทคโนโลยีและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมเหมืองแร่ไทย เพื่อให้ไทยก้าวเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานโลกที่มั่นคงและน่าเชื่อถือ โดยยังคงรักษาอำนาจการกำกับดูแลภายในประเทศอย่างเต็มที่” อดิทัต กล่าว
ไทยไม่เสียสิทธิ์-ยึดประโยชน์สูงสุด
อดิทัต กล่าวอีกว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างมีมาตรฐาน โดยเฉพาะในยุคเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ซึ่งต้องอาศัยเทคโนโลยีและวัสดุใหม่ๆ ที่มีแร่หายากเป็นส่วนประกอบหลัก
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ไทยจะไม่เสียสิทธิ์ในทรัพยากร แต่จะได้องค์ความรู้ เทคโนโลยี และโอกาสในการยกระดับอุตสาหกรรมของเราให้ยั่งยืนมากขึ้น
“บันทึกความเข้าใจนี้ไม่มีผลทางกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นเพียงกรอบความร่วมมือเพื่อเปิดทางให้ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และโอกาสการลงทุน ซึ่งจะเกิดขึ้นจริงได้ต่อเมื่อมีงบประมาณสนับสนุนเพียงพอ และอยู่ภายใต้กฎหมายของแต่ละประเทศอย่างเคร่งครัด”
ธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ “ถือเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองประเทศจะได้ร่วมมือกันในการเสริมสร้างการกำกับดูแลที่ดีต่อทรัพยากรแร่ธาตุสำคัญ เพื่อขยายความเชื่อมโยงของประเทศไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานโลกที่มีความมั่นคงและเชื่อถือได้”
โดยเล็งเห็นถึงความสำคัญของความมั่นคง ความหลากหลาย ความคล่องตัว และความเป็นธรรมสำหรับห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญ ทั้งในด้านการสนับสนุนการสำรวจ การสกัด การแปรรูป การใช้ประโยชน์ปลายทางอย่างเหมาะสม การนำกลับมาใช้ใหม่ และการรีไซเคิล
โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยและสหรัฐฯ ในเชิงลึกยิ่งขึ้น เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและทรัพยากรที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย
“ความร่วมมือในครั้งนี้จึงเป็นการเปิดโอกาส ให้ไทยสามารถเข้าร่วมในห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญในระดับโลก โดยเน้นย้ำว่าต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากลขั้นสูงสุด และตระหนักถึงความเชี่ยวชาญทางด้านเทคนิค กฎระเบียบ นโยบาย”
รวมถึงประสบการณ์ที่เป็นลักษณะเฉพาะด้านทรัพยากรแร่ธาตุที่ทั้งสองประเทศมีอยู่ เพื่อให้เกิดความมั่นคงและความน่าเชื่อถือในการจัดหาทรัพยากรแร่ธาตุสำคัญ สนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยี ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา ไปจนถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเชิงนวัตกรรม
ภาพ: wildpixel / Getty Images


