×

กมธ. สาธารณสุข วุฒิสภา ตั้งอนุ กมธ. ตรวจสอบปม สปสช. ค้างชำระเงิน รพ. รัฐ กระทบประชาชน

โดย THE STANDARD TEAM
21.10.2025
  • LOADING...
กมธ. สาธารณสุข วุฒิสภา ตั้ง อนุ กมธ. ตรวจสอบปม สปสช. ค้างชำระเงิน รพ. รัฐ กระทบประชาชน

วันนี้ (21 ตุลาคม) ที่อาคารรัฐสภา นพ. ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา แถลงข่าวเรื่อง การบริหารงบประมาณกองทุนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยระบุว่า อยากให้ สปสช. แสดงความรับผิดชอบ ตอบปัญหาการค้างจ่ายงบประมาณต่อโรงพยาบาลทั่วประเทศหลังเกิดวิกฤตขาดสภาพคล่อง ซึ่งกระทบต่อสิทธิของประชาชน

 

ทางคณะกรรมาธิการสาธารณสุขวุฒิสภา มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ที่โรงพยาบาลของรัฐทั่วประเทศขาดสภาพคล่องทางการเงินเนื่องจากความล่าช้าและความไม่ชัดเจนในการเบิกจ่ายงบประมาณของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งส่งผลกระทบต่อการจัดบริการการจัดซื้อยาเวชภัณฑ์และการบริหารค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์

 

ในหลายพื้นที่ของประเทศสถานการณ์ปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณจาก สปสช. ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นจนส่งผลกระทบโดยตรงต่อการบริหารจัดการทางการเงินของโรงพยาบาลรัฐจำนวนมากโรงพยาบาลหลายแห่งจำเป็นต้องนำเงินบำรุงสะสมมาใช้เพื่อดำเนินการประจำวัน เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับช่วงเวลาการโอนงบประมาณจาก สปสช.

 

“ประเด็นสำคัญที่ได้รับร้องเรียนคือระบบบริหารงบประมาณของ สปสช. ยังคงใช้แนวทางงบประมาณแบบปลายปิด ซึ่งมีลักษณะการจัดสรรและคำนวณงบประมาณย้อนหลังจากสิ้นปีงบประมาณไปแล้ว ทำให้หน่วยบริการไม่สามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และต้องรับภาระค่าใช้จ่ายล่วงหน้าโดยไม่ทราบจำนวนเงินที่จะได้รับจริงส่งผลให้หลายโรงพยาบาลประสบภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงินและเกิดผลขาดทุนสะสมต่อเนื่อ” นพ. ประพนธ์กล่าว

 

นพ. ประพนธ์ยังกล่าวว่า ทาง สปสช.ได้ออกมาชี้แจง ว่าข้อมูลยอดค้างจ่าย ไม่เป็นความจริงและยืนยันว่าการโอนงบดำเนินการตามรอบปกติ โดยอยู่ระหว่างขั้นตอนปิดงบประมาณปลายปีเพื่อปรับยอดจ่ายให้สอดคล้องกับผลงานบริการจริง ทางกมธ. เห็นว่าข้อมูลทั้งสองฝ่ายไม่สอดคล้องกัน จำเป็นต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสเป็นธรรมและไม่กระทบต่อการให้บริการประชาชน

 

นอกจากนี้ ยังปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 สปสช. ได้ดำเนินการโครงการคลินิกชุมชนอบอุ่น และ โครงการ 7 นวัตกรรม มีการเบิกจ่ายงบประมาณจำนวนมาก แต่พบว่ามีการทุจริตจากช่องว่างของระบบ เช่น การคีย์ข้อมูลบริการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงเพื่อเบิกเงิน หรือการแจ้งผู้ป่วยปลอมเพื่อเรียกรับงบประมาณ ทำให้ สปสช. ต้องเรียกเงินคืนจากคลินิกชุมชนอบอุ่นหลายร้อยล้านบาท โดยไม่มีความชัดเจนว่าได้มีการดำเนินคดีหรือตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างโปร่งใส ซึ่งเสี่ยงต่อการทุจริตและใช้เงินไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์

 

สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการได้เชิญผู้บริหาร สปสช. มาชี้แจง แต่จากข้อมูลที่ได้รับพบว่าหลายประเด็นไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในพื้นที่ และคำยืนยันของโรงพยาบาลที่ปรากฏในเอกสารซึ่งสร้างความไม่เชื่อมั่นต่อระบบบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งสถานการณ์แบบนี้เป็นวิกฤตความเชื่อมั่นต่อระบบหลักประกันสุขภาพของชาติ หากโรงพยาบาลต้องขาดสภาพคล่องย่อมหมายถึงสิทธิของประชาชนกำลังถูกบั่นทอน และระบบสาธารณสุขกำลังอยู่ในภาวะเสี่ยง

 

ทางคณะกรรมาธิการจึงขอเรียกร้องให้ สปสช. แสดงความรับผิดชอบและดำเนินการเร่งด่วน ดังนี้

 

1. เปิดเผยข้อมูลงบประมาณที่ค้างจ่ายต่อโรงพยาบาลยังโปร่งใส

 

2. เร่งรัดการจ่ายเงินให้กับโรงพยาบาลที่มีภาระหนัก

 

3. จัดทำรายงานสถานการณ์ทางการเงินของกองทุนให้ชัดเจนและเปิดเผยต่อสาธารณะ

 

และ 4. ยุติการให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนหรือไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในพื้นที่

 

เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน ทางคณะกรรมการ ได้ตั้งคณะอนุกรรมาธิการศึกษาการบริหารงบประมาณของ สปสช. และผลกระทบต่อโรงพยาบาลของรัฐ ขึ้นแบบเร่งด่วน ซึ่งการตั้งคณะอนุกรรมาธิการครั้งนี้เป็นการดำเนินการตรวจสอบเชิงระบบ เพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบข้อเท็จจริง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการละเลยตอบปัญหาที่ส่งผลต่อชีวิตและสิทธิขิงประชาชน และจะรายงานผลต่อประธานวุฒิสภาเพื่อพิจารณามาตรการต่อไป

 

สำหรับกรณีที่มีข้อเรียกร้องให้ยุบ สปสช. นั้น นพ. ประพนธ์กล่าวว่า คงเป็นเสียงที่ อยู่ในสภาวะโกรธ แต่ตนคิดว่าหากมองดูแล้ว มันควรจะเปลี่ยนแปลงได้ เพราะ พ.ร.บ. ฉบับนี้เกิดมา 20 กว่าปีแล้ว ต้องมาดูว่า ในสิ่งที่เราสามารถพูดคุยศึกษาในคณะอนุกรรมาธิการ และมีมาตรการที่สมควรปรับปรุงให้ดีขึ้น ก็จะอยู่ในระบบที่ดีกว่าได้

 

ด้าน นพ. วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สว. ยืนยันว่า ไม่ได้ต่อสู้กัน เพียงแค่ให้ข้อมูลที่ได้มา และตัวเลขที่ตนได้นำเสนอไปคือตัวเลข ที่ โรงพยาบาลขึ้นทะเบียนรอรับเงินจาก สปสช. ซึ่งมาจากการให้บริการผู้ป่วยจริงจากโรงพยาบาล ข้อมูลของ สปสช. ที่บอกว่าตัวเลขนี้ไม่จริงเพราะ สปสช. มีการปรับลดบางตัวเลข ทาง สปสช. ยังสุ่มตรวจเวชระเบียน เช่น สุ่มตรวจ 3 เล่มแต่ขยายออกเป็น 100 เล่มหากพบว่าหมอหรือพยาบาลลงข้อมูลไม่ครบจะโดนตัดทันที และที่ทาง สปสช. ที่เคยแจ้งว่าภายในวัน ศุกร์ ที่ 17 ตุลาคม แต่โอนไม่หมด แต่บอกว่าจะโอนไปให้อีกในสัปดาห์ถัดไป แต่ก็ยังโอนไม่ครบ

 

นพ. วีระพันธ์ระบุว่า ที่ต้องออกมาช่วยเหลือ เพราะมีเหตุการณ์จริง คือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหนึ่งได้โทรมาหาว่ารอเงินจาก สปสช. เข้า 20 กว่าล้านเพื่อนำไปจ่ายค่าบุคลากร ซื้อเวชภัณฑ์แต่ปรากฏว่าเงินไม่เข้าแล้วยังกลายเป็นหนี้ สปสช. อีกเป็น 10 ล้าน แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปให้เจ้าหน้าที่ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่ยืนยันว่าไม่ควรยุบ สปสช. แต่ควรปฏิรูป

 

ส่วนที่มีการของบกลางไปจำนวน 8,000 ล้านบาท นพ. วีระพันธ์ มองว่า อาจมาถึงแค่ 4,000 ล้านบาท แต่ไม่ได้แก้ปัญหาในระยะยาว และในการประชุมครั้งที่ผ่านมา ตนจะขอบันทึกวีดีโอเพราะถ้าทั้งสองฝ่ายพูดความจริงก็จะเป็นผลดี แต่ทาง สปสช. ขอสงวนไม่ให้บันทึกวีดีโอ

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising