ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-รัสเซียในยุคทรัมป์ 2.0 ถูกจับตาจากทั่วโลก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีความพยายามที่จะเอาใจประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าบางครั้งทรัมป์มีท่าทีต่อรัสเซียที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย (เช่น การโพสต์ในสื่อโซเชียลเพื่อขู่จะคว่ำบาตรและขึ้นภาษีกับรัสเซีย) หากแต่ทรัมป์ได้เคยเอาใจปูตินเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่ยอมปรับจุดยืนของสหรัฐฯ ในการโหวตไปทางเดียวกับรัสเซีย เพื่อคัดค้านมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ในการประณามสงครามรุกรานยูเครน เนื่องในวันครบรอบ 3 ปีของสงครามรัสเซีย-ยูเครน (24 กุมภาพันธ์)
สิ่งที่ทรัมป์ทำทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อเป้าหมายในการยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนเท่านั้น การที่ทรัมป์เอาใจรัสเซียเป็นอย่างมากยังสะท้อนถึงเป้าหมายเบื้องลึกของสหรัฐฯ ในความพยายามแยกรัสเซียออกจากจีน เพื่อต้องการโดดเดี่ยวคู่ชกหลักที่เป็นศัตรูอันดับ 1 ของสหรัฐฯ นั่นคือจีน
ในขณะที่รัสเซีย-จีนมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเป็นพิเศษในยุคของประธานาธิบดีปูตินและประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ทั้งคู่ได้ผูกมิตรสร้างสัมพันธ์ที่แนบแน่นกันอย่างต่อเนื่องยาวนานมากกว่า 10 ปี และในปี 2022 ก่อนที่รัสเซียจะบุกยูเครน ทั้งสองฝ่ายยังได้ยกระดับสถานะความเป็นพันธมิตรแบบ ‘ไร้ขีดจำกัด’ (No Limits Partnership) ระหว่างกันด้วย
ในการโทรคุยกับปูตินล่าสุดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ สีจิ้นผิงก็ได้ย้ำว่า “ประวัติศาสตร์และความเป็นจริงสะท้อนว่าจีนและรัสเซียคือเพื่อนแท้ (True Friend) ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา จะไม่แยกจากกัน และจะไม่ให้ ‘บุคคลที่ 3’ มามีอิทธิพล” และฝ่ายปูตินก็เล่า (รายงาน) ให้สีจิ้นผิงฟังว่าโทรคุยอะไรกับทรัมป์มาบ้าง และทีมเจรจาสันติภาพของรัสเซียและสหรัฐฯ ประชุมหารืออะไรกันบ้าง จึงสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาของคู่นี้
ความพยายามของทรัมป์ที่จะแยกปูตินออกจากสีจิ้นผิงจะสำเร็จหรือไม่ จึงเป็นประเด็นที่พูดถึงกันมาก บทความนี้จะมาวิเคราะห์ว่าทำไมไม่ง่ายที่ทรัมป์จะแยกปูตินออกไปจากอ้อมอกสีจิ้นผิง และรัสเซียพึ่งพาจีนมากเพียงใด
ขอย้อนไปวิเคราะห์สถานการณ์ในอดีตก่อนที่จะบุกยูเครน รัสเซียเคยพึ่งพาตลาดสหภาพยุโรปเป็นคู่ค้าอันดับ 1 (สัดส่วนสูงถึงร้อยละ 37 ของการค้าทั้งหมดของรัสเซีย) และสหรัฐฯ เคยเป็นคู่ค้าอันดับ 5 ของรัสเซีย มีมูลค่าการค้าระหว่างกันอยู่ที่ 35,000 ล้านดอลลาร์ หากแต่หลังจากปี 2022 เมื่อถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ รัสเซียถูกตัดขาดกับคู่ค้าเดิมเหล่านี้ ทำให้ต้องหันไปพึ่งพาการค้าขายกับจีนมากขึ้น
แม้ว่าจีนพยายามเลี่ยงไม่แสดงท่าทีสนับสนุนรัสเซียในสงครามยูเครนอย่างเปิดเผย แต่ในด้านเศรษฐกิจ จีนซุ่มขยายการค้าและลงทุนในรัสเซียอย่างต่อเนื่อง ทำให้เศรษฐกิจรัสเซียไม่พังและเติบโตต่อไปได้ ดังนั้นการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และชาติตะวันตกที่รุมกันลงโทษรัสเซีย กลับกลายเป็นโอกาสของจีนที่ได้ยื่นมือไปช่วย เสมือนเป็น ‘ผู้มีบุญคุณ’ ของรัสเซีย ในด้านต่างๆ ดังนี้
ประเด็นแรก การค้ากับจีนคือที่พึ่งหลักของรัสเซีย
หลังจากที่ถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจในปี 2022 การค้ารัสเซีย-จีนขยายตัวร้อยละ 26 จีนกลายเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของรัสเซีย และในปี 2024 มูลค่าการค้าระหว่างกันทะลุ 245,000 ล้านดอลลาร์ (เมื่อเปรียบเทียบกับการค้าสหรัฐฯ-รัสเซีย ในช่วงก่อนคว่ำบาตร มีมูลค่าเพียงแค่ 35,000 ล้านดอลลาร์)
รัสเซียพึ่งพารายได้จากการส่งออกไปจีน สินค้าหลักที่ขายให้จีน ได้แก่ น้ำมันดิบ (สัดส่วนร้อยละ 20 ของการส่งออกทั้งหมดไปจีน) ตามมาด้วยก๊าซธรรมชาติ (สัดส่วนร้อยละ 10) และถ่านหิน
ที่น่าสนใจคือ การที่จีนเข้ามาช่วยรัสเซียรับมือกับมาตรการห้ามนำเข้าน้ำมันของสหภาพยุโรป ยังเอื้อให้จีนสามารถซื้อน้ำมันจากรัสเซียในราคาลดพิเศษ (ฝ่ายรัสเซียลดราคาให้จีนสูงถึงร้อยละ 30) จีนจึงได้รับประโยชน์จากพลังงานราคาถูกเหล่านี้ ข้อมูลปี 2024 รัสเซียคือผู้ส่งออกน้ำมันไปจีนรายใหญ่ที่สุด (แซงหน้าซาอุดีอาระเบีย)
ในขณะเดียวกัน จีนก็ส่งออกสินค้าไปขายให้รัสเซียได้มากขึ้น รายการสินค้าหลักที่จีนส่งออกไปรัสเซีย ได้แก่ รถยนต์ (เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 700 ในปี 2023) อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร ชิป และสินค้าอุปโภคบริโภค ชาวรัสเซียหันมาซื้อรถยนต์แบรนด์จีนมากขึ้น ทำให้ค่ายรถยนต์จีนอย่าง Cherry และ Geely กลายเป็นรถยนต์นำเข้าที่มียอดขายมากเป็นอันดับ 1 และ 2 ในรัสเซีย
ที่สำคัญทั้งสองประเทศหันมาใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าขายกันมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ โดยตั้งแต่ปี 2023 การค้าระหว่างกันในสกุลหยวน-รูเบิล มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 90
(ทั้งนี้ รัสเซียเป็นคู่ค้าอันดับ 9 ของจีน ข้อมูลปี 2023 มูลค่าการค้าจีน-รัสเซียมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 4 ของการค้ารวมของจีน)
ประเด็นที่สอง ทุนจีนไหลเข้ารัสเซียเพิ่มสูงร้อยละ 150
หลังจากที่รัสเซียถูกชาติตะวันตกคว่ำบาตร จีนกลายเป็นนักลงทุนหลักของรัสเซีย ในปี 2023 การลงทุนจากจีนไหลเข้าไปในรัสเซียเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 150 ส่วนใหญ่ลงทุนในภาคพลังงาน เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐาน รัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ของจีน เช่น CNPC และ Sinopec รวมทั้ง CNOOC เข้าไปลงทุนโครงการพลังงานและปิโตรเคมีในรัสเซีย
นอกจากนี้ จีน-รัสเซียอยู่ในระหว่างการเจรจาขยายอภิมหาโครงการขนส่งก๊าซธรรมชาติ ‘Power of Siberia 2’ ที่มีมูลค่ามหาศาล โดยที่โครงการแรกคือ ‘Power of Siberia’ มีมูลค่าสูงถึง 400,000 ล้านดอลลาร์ และเริ่มส่งก๊าซธรรมชาติไปให้จีน มาตั้งแต่ปี 2019
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วการลงทุนของรัสเซียในจีนยังมีมูลค่าไม่มาก (สัดส่วนน้อยกว่าร้อยละ 0.5 ของมูลค่าการลงทุนต่างชาติ FDI ทั้งหมดในจีน) สะท้อนถึงพลังทางเศรษฐกิจของจีนที่มีมากกว่า และรัสเซียยังคงเป็นฝ่ายพึ่งพาจีนมากกว่า
ประเด็นสุดท้าย ความร่วมมือจีน-รัสเซีย ‘ไร้ขีดจำกัด’ ด้านอื่นๆ เช่น ด้านการเงินระหว่างประเทศ หลังจากถูกคว่ำบาตรไม่ให้ใช้ระบบ SWIFT ของโลกตะวันตกในการโอนชำระเงินระหว่างประเทศ ทำให้รัสเซียต้องหันมาใช้ระบบ CIPS (Cross-border Interbank Payment System) ซึ่งเป็นชำระเงินข้ามพรมแดนของจีน
ด้านเทคโนโลยี นับตั้งแต่รัสเซียถูกคว่ำบาตร จีนมีการส่งออกชิปเซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคมให้รัสเซียมากขึ้น นอกจากนี้บริษัท Huawei ของจีนเข้าไปลงทุนขยายเครือข่าย 5G ในรัสเซีย ในขณะเดียวกันจีนมีการนำเข้าเทคโนโลยีอวกาศและอาวุธขั้นสูงจากรัสเซีย (เช่น เครื่องยนต์จรวด) และสองฝ่ายร่วมกันพัฒนาระบบดาวเทียม CRS (เพื่อแข่งกับระบบ GPS ของสหรัฐฯ)
ด้านการทหาร ทั้งสองฝ่ายได้จัดการฝึกร่วม ‘Vostok-2022’ และ ‘Joint Sea-2023’ และมีรายงานว่ารัสเซียใช้โดรนจากจีนในการทำสงครามกับยูเครนด้วย
นอกจากนี้ทั้งสองประเทศยังมีความร่วมมือที่ใกล้ชิดในกรอบอื่นๆ เช่น กลุ่ม SCO (Shanghai Cooperation Organization) ในด้านความมั่นคง และกลุ่ม BRICS ในด้านเศรษฐกิจ เพื่อสร้างกลุ่ม ‘โลกขั้วใต้’ (Global South) ให้หันมาคบค้ากันเองมากขึ้น และลดอิทธิพลโลกตะวันตก โดยเฉพาะลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์
โดยสรุป ในช่วง 3 ปีหลังจากถูกคว่ำบาตรและตัดขาดจากเศรษฐกิจโลกตะวันตก รัสเซียมีการติดต่อค้าขายกับสหรัฐฯ และชาติตะวันตกน้อยมาก แต่เศรษฐกิจรัสเซียก็ไม่พัง และยังสามารถประคับประคองให้เติบโตต่อไป ด้วยการหันมาคบค้ากับจีนมากขึ้น (ในทางกลับกัน เศรษฐกิจยุโรปกลับได้รับผลกระทบจากต้นทุนราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้น)
ด้วยความสัมพันธ์จีน-รัสเซียที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น ต่างฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ตามที่ตนต้องการ ฝ่ายจีนได้รับประโยชน์จากทรัพยากรพลังงานราคาถูกและความเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์กับรัสเซีย ส่วนฝ่ายรัสเซียก็สามารถพยุงเศรษฐกิจของตนให้เติบโตต่อไป มีรายได้จากการส่งออกไปจีน การไหลเข้ามาลงทุนของจีน และเทคโนโลยีชั้นสูงจากจีน จีนเป็นชาติพันธมิตรที่ไม่เคยทอดทิ้งรัสเซีย ดังนั้นจึงไม่ง่ายที่ทรัมป์จะแยกปูตินไปจากสีจิ้นผิง
ที่สำคัญ ทั้งสีจิ้นผิงและปูตินยังได้สานฝันร่วมกันในระยะยาว เพื่อร่วมมือกันคานอำนาจและอิทธิพลของสหรัฐฯ ผ่านความร่วมมือในกลุ่ม SCO และกลุ่ม BRICS ที่ทวีความสำคัญมากขึ้น
ภาพ: Contributor / Getty Images