บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) รายงานผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2567 มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 5,514 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA) อยู่ที่ 33,623 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% โดยมีรายได้หลักเติบโต 9% จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของทั้งธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร
ด้านธุรกิจโรงแรมในยุโรปไตรมาส 3 มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องเพิ่มขึ้น 9% และราคาห้องพักเฉลี่ยสูงขึ้น 7% จากจำนวนนักท่องเที่ยวอเมริกันและอังกฤษที่เพิ่มขึ้นในช่วงไฮซีซัน โดยเฉพาะในสเปน ยุโรปตอนกลาง และกลุ่มประเทศเบเนลักซ์ ส่วนโรงแรมในไทยแม้อยู่ในช่วงฤดูฝน แต่ราคาห้องพักเฉลี่ยและรายได้ต่อห้องยังเติบโต 12% จากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติและการท่องเที่ยวในประเทศ โดยมีอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้น 2%
ในปี 2567 MINT ได้ขยายพอร์ตโฟลิโอธุรกิจโรงแรม โดยเปิดโรงแรมใหม่หลายแห่ง ได้แก่ NH ในปารีสและแอฟริกาใต้, Avani ในอัมสเตอร์ดัม และ NH Collection ในเฮลซิงกิ รวมถึงในเอเชีย เช่น Anantara Jaipur ในอินเดีย, NH ในมัลดีฟส์ ศรีลังกา กรุงเทพฯ และ NH Collection ในสมุย
สำหรับธุรกิจร้านอาหาร ยอดขายรวมทุกสาขาในไทยเติบโต 6% และสิงคโปร์เติบโต 8% นำโดยแบรนด์ Dairy Queen, Swensen’s และ GAGA นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวร้าน BatterCatch ซึ่งเป็นร้านอาหารประเภทฟิชแอนด์ชิปในสิงคโปร์ และการขยายสาขา GAGA ในอินโดนีเซีย โดยในไทยมีการเปิดสาขาครบ 50 แห่งแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมรายการพิเศษแล้ว MINT มีกำไรสุทธิตามงบการเงิน 4,119 ล้านบาท ได้รับผลกระทบจากการบันทึกขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนในตราสารอนุพันธ์ช่วงไตรมาส 3 ซึ่งเป็นผลกระทบชั่วคราวและจะสิ้นสุดเมื่อมีการชำระสัญญา ทั้งนี้ MINT สามารถลดหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยลงได้ 7,600 ล้านบาท และจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปี 2567 ที่ 0.57 บาทต่อหุ้น
สำหรับแนวโน้มไตรมาส 4 บริษัทคาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากฤดูกาลท่องเที่ยว โดยมียอดจองโรงแรมล่วงหน้าในไทยและบาหลีเพิ่มขึ้น รวมถึงความต้องการเดินทางของลูกค้ากลุ่มองค์กรในยุโรปที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง
ดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มไมเนอร์ฯ มองว่าไตรมาส 4 บริษัทมีความพร้อมรับช่วงเทศกาลวันหยุด ด้วยการเตรียมแคมเปญและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย ขณะที่ฐานะการเงินมีความแข็งแกร่งขึ้น หลังสามารถลดหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยลงได้