TASTE: Villa Frantzén Cocktail Bar บาร์ค็อกเทลสไตล์นอร์ดิก ที่เปรียบเครื่องดื่มต้องกลมกล่อมเหมือนอาหาร

“ค็อกเทลก็เหมือนการทำอาหาร คุณต้องชูวัตถุดิบหลักให้โดดเด่น” ก่อนเราจะนั่งจิบเครื่องดื่มกันยาวๆ คืนนี้ ก็ขอชวนบาร์เทนเดอร์ประจำ ‘Villa Frantzén Cocktail Bar’ คุยเรื่องค็อกเทลของพวกเขาด้วยเสียหน่อย เพราะถึงแม้หลายคนจะรู้จักร้านอาหารแล้ว แต่สำหรับบาร์ที่เปิดอยู่ในที่เดียวกัน พวกเขาก็มีดีเกินกว่าจะเป็นเพียงบาร์นั่งดื่มก่อนเริ่มต้นมื้ออาหาร

“ค็อกเทลที่นี่เป็นสไตล์นอร์ดิกก็จริง แต่สุดท้ายเราก็ต้องทำรสชาติให้ถูกปากคนท้องถิ่น โดยเอกลักษณ์ของเราก็ไม่หายไป” กาเบรียล วัลเดส (Gabriel Valdés) ผู้จัดการบาร์และมิกโซโลจิสต์ประจำ Villa Frantzén Cocktail Bar เล่าให้ฟัง ซึ่งเราก็เห็นด้วย

เพราะหากเขาเสิร์ฟค็อกเทลรสชาติคลีนๆ อย่างในสวีเดนให้คนไทยชิม หลายคนคงไม่อินเท่าไร จริงไหม?

“ผมจะเริ่มจากรสชาติของวัตถุดิบหลักก่อนเสมอ แล้วค่อยผสมลิเคียวต่างๆ ลงไปให้กลมกล่อม” กาเบรียลพูดถึงขั้นตอนการรังสรรค์ค็อกเทลที่นี่ ซึ่งอาจต่างจากทั่วไปนิดหน่อย เพราะพวกเขาจะเริ่มจากรสชาติวัตถุดิบ อย่างเช่น รูบาร์บ บลูเบอร์รี บ๊วย หรือ ‘น้ำส้มสายชู’ ที่เป็นของขึ้นชื่อประจำ Villa Frantzén Cocktail Bar แล้วค่อยปรุงให้กลมกล่อมด้วยส่วนผสมแอลกอฮอล์

ในขณะเดียวกัน ค็อกเทลส่วนใหญ่จะหน้าตาเรียบง่ายสไตล์นอร์ดิกมากๆ ทว่าเต็มไปด้วยความซับซ้อนทั้งจากวัตถุดิบและเทคนิคที่ซ่อนอยู่

อย่างเช่นแก้วแรก ‘Chlorophyll Highball (440 บาท)’ เป็นค็อกเทลสดชื่นที่เหมาะกับการเริ่มต้นมื้ออาหารหรือดื่มเป็นแก้วเปิด เพราะมีการใช้น้ำส้มสายชูทำจากเบอร์รีภาคเหนือ หรือซีบัคธอร์น แต่นำไปเจือจางจนใสไม่มีสี นำมาผสมกับจิน เมซคาล พอดื่มแล้วจะรู้สึกคล้ายแชมเปญ เพราะมีการใส่ CO₂ ลงไปแทนโซดา

เมนูนี้ดื่มง่ายๆ แนะนำให้ลองสั่งบาร์สแน็กสุดครีมมี่ ‘Oyster (250 บาท)’ จากทีมร้านอาหารมากินพร้อมกันด้วย เพราะจะเข้ากันดี แถมมีส่วนผสมของซีบัคธอร์นเหมือนกัน

‘Milk, Tea & Coco (480 บาท)’ เป็นเมนูใหม่ล่าสุด และเราชอบที่สุดจากบาร์ Villa Frantzén Cocktail Bar แก้วนี้มีส่วนผสมจาก ‘นมและเลมอน’ ที่หากใครเก่งวิทยาศาสตร์คงเดาออกว่าจะเกิดการแยกชั้นเพราะไม่เข้ากัน แต่พวกเขานำไปทำให้ใส แล้วจึงผสมกับอควาวิต (แอลกอฮอล์ของสแกนดิเนเวีย) และรัม

แก้วนี้ต้องจิบคู่กับของกินเล่น ‘Villa Frantzén Caviar (1,950 บาท)’ อีกเมนูขึ้นชื่อจากร้านอาหาร เพราะเสิร์ฟคาเวียร์ 30กรัมมาให้เราตักกินพร้อมวาฟเฟิลมะพร้าว ซาวครีม บราวน์บัตเตอร์สาหร่าย และต้องบีบมะนาวปิดท้ายด้วย

หากใครสั่งสองเมนูนี้คู่กันเราว่าจะกินเพลิน เพราะเป็นรสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ แบบที่คนไทยชอบเลย

แก้วต่อไปที่กาเบรียลนำเสนอคือ ‘Beets & 2 Types of Citrus (440 บาท)’ ที่มีวัตถุดิบหลักคือบีตรูต ผสมกับวอดก้า ยูซุสาเก และ ‘น้ำเวย์’ ที่ได้จากโยเกิร์ต หากใครไม่ชอบค็อกเทลหวานแบบเราจะถูกใจเมนูนี้เป็นพิเศษ เพราะมีความเปรี้ยวนำ

ส่วนอีโมจิที่วางอยู่ด้านบนทำมาจากมันฝรั่ง ซึ่งเครือ Frantzén ซื้อลิขสิทธิ์มาเพื่อใช้ประดับบนแก้วนี้โดยเฉพาะ

และแก้วนี้แนะนำว่าเหมาะกับ ‘Veal Tartar (520 บาท)’ หนึ่งในจานที่ทุกคนจะพบบนเมนูคอร์สอาหารเช่นกัน

นอกจากค็อกเทลซิกเนเจอร์ Villa Frantzén Cocktail Bar ก็มีเมนูคลาสสิกทวิสต์ให้สั่งด้วยนะ เช่น ‘Old Fashioned (450 บาท)’ ที่มีส่วนผสมของอุเมะชู และน้ำมันจากต้นเบิร์ช กาเบรียลบอกว่าให้ลองกินคู่กับขนมหวาน ‘Szechuan Pepper Ice Cream (320 บาท)’ ที่มีน้ำมันจากต้นเบิร์ชเช่นกัน และมีรสเปรี้ยวอมหวานกับชาลิ้นหน่อยๆ จับคู่กันแล้วนั่งชิลได้ทั้งคืน

ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มพิเศษ ‘Hot Shot (250 บาท)’ กาเบรียลบอกว่าเป็นเมนูดั้งเดิมของชาวสวีเดนตั้งแต่ยุค 80 ที่หากคุณไปนั่งดื่มบาร์ไหนละก็ พวกเขาจะเสิร์ฟให้เป็นช็อตสุดท้าย

แก้วนี้เป็นกาแฟผสมลิเคียววานิลลาและท็อปครีมด้านบน เสิร์ฟมาอุ่นๆ ให้ดื่มในช็อตเดียว ถ้าใครอยากลองค็อกเทลดั้งเดิมสไตล์สวีเดนต้องตามมาลองดู

“ผมสนุกกับการทำค็อกเทลในประเทศไทยนะ เพราะที่นี่ทุกคนพร้อมลองอะไรใหม่ๆ พวกเราเลยใส่ความสร้างสรรค์ลงไปได้มากกว่า” กาเบรียลบอก ก่อนจะหยิบวัตถุดิบต่างๆ เบื้องหลังบาร์มาให้เราดูว่าเขากำลังทดลองและเตรียมทำอะไรอยู่บ้าง

ซึ่งแน่นอนว่ามันจะออกมาเป็นเมนูใหม่อีกเรื่อยๆ ให้ทุกคนตามมาเปิดประสบการณ์ใหม่ด้วยกัน