การป้องกันไม่ให้คนเข้ามาก่อเหตุลักทรัพย์ภายในร้าน ถือเป็นมาตรการทั่วไปที่ร้านค้าต่างๆ ต้องมีไว้ เพื่อป้องกันความเสียหาย แต่แฟรนไชส์ขายสินค้าชุดชั้นในชื่อดังอย่างวิกตอเรียส์ ซีเคร็ต มีนโยบายห้ามให้พนักงานเข้าไปจัดการคนก่อเหตุขโมยของโดยเด็ดขาด
นโยบายนี้ระบุว่า พนักงานห้ามเข้าไประงับ กล่าวหา เถียง หรือชี้ตัวผู้ก่อเหตุ ด้วยข้อห้ามของบริษัทเอง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่พนักงานหลายรายให้สัมภาษณ์ต่อ Business Insider ว่า ‘การเห็นลูกค้าเข้ามาขโมยของถือเป็นเรื่องปกติไปแล้ว’
หลักฐานที่บ่งชี้อีกอย่างหนึ่งต่อสถานการณ์ดังกล่าวคือ บุคคลทั่วไปสามารถค้นหาข้อมูลวิธีการขโมยสินค้าในวิกตอเรียส์ ซีเคร็ตผ่านทางกูเกิลได้อย่างง่ายด้วย
หลายมลรัฐในสหรัฐอเมริกามีการรายงานข่าวถึงกรณีเหล่านี้ ทั้งในรัฐเซาท์แคโรไลนา เทนเนสซี หรืออย่างรัฐนิวแฮมเชียร์ ที่พนักงานวิกตอเรียส์ ซีเคร็ต แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ว่า มีชุดชั้นในรวมมูลค่า 6,514 ดอลลาร์ (ราว 214,770 บาท) ถูกขโมยไป รวมถึงเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 พ.ย. ที่หญิงรายหนึ่งในเมืองเมอร์เทิลบีชขโมยของไปรวม 1,200 ดอลลาร์ด้วย (ราว 39,565 บาท)
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านชุดชั้นในรายหนึ่งที่ทำงานให้กับวิกตอเรียส์ ซีเคร็ตในเซาท์ฟลอริดาเล่าว่า “ตอนแรกที่ฉันมาถึงที่ห้างนี้ ก็คิดได้แค่ว่า ‘มันบ้าไปแล้ว’ แต่ตอนนี้มันก็เป็นเหมือนวันธรรมดาทั่วๆ ไป”
อนิเชีย กาลินโด อดีตพนักงานวิกตอเรียส์ ซีเคร็ต เผยประสบการณ์ว่า “เรามีลูกค้าที่มาทุกสัปดาห์ แล้วตอกหน้าพนักงานว่า ‘ฉันมาขโมยของที่นี่ตลอดเลยนะ’ ฉันยังเคยเจอลูกค้าหลายคนจ้องมองมาที่ฉัน หลังจากฉันไปหาว่าพวกเขาขโมยชุดชั้นในราคาหลักพันหลายชิ้นใส่กระเป๋า ซึ่งผู้จัดการบอกฉันว่า ‘เราต้องปล่อยพวกเขาไป แล้วก็ได้แต่หวังว่าพวกเขาจะเอาของวางคืนที่เดิม’”
นโยบายห้ามยุ่งเกี่ยวกับผู้ก่อเหตุโดยตรง ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อทางร้าน แต่พนักงานเองก็มีความเสี่ยงถูกไล่ออกได้ หากละเมิดกฎนี้ อย่างไรก็ตาม ตัวแทนวิกตอเรียส์ ซีเคร็ตที่ออกมายืนยันข้อเท็จจริงของข้อห้ามนี้ระบุว่า พนักงานจะต้องแจ้งเตือนฝ่ายป้องกันทรัพย์สินหรือฝ่ายป้องกันความสูญเสีย ที่มีหน้าที่แจ้งความกับตำรวจโดยตรง
ไม่เพียงแต่วิกตอเรียส์ ซีเคร็ตเท่านั้นที่มีนโยบายลักษณะนี้ ห้างอย่าง Walmart หรือ Macy’s ก็มีนโยบายคล้ายคลึงกัน ที่ไม่เพียงแต่มีไว้เพื่อปกป้องความปลอดภัยของพนักงาน แต่เพื่อไม่ให้ลูกค้าถูกกล่าวหาแบบผิดๆ ด้วย
ในกรณีนี้ กาลินโดบอกอีกว่า ผู้ก่อเหตุหลายคนกลับมาที่ร้านของเธอ ขโมยของ แล้วก็เดินมาที่เคาน์เตอร์เพื่อขอค่าชดเชย ซึ่งเธอไม่สามารถกล่าวหาหรือแยกแยะข้อเท็จจริงของสถานการณ์ได้ พนักงานทำได้เพียงให้บัตรของขวัญมูลค่าต่ำสุดไป
ยอดอาชญากรรมพุ่ง
ผู้เชี่ยวชาญหลายรายกล่าวถึงปรากฏการณ์นี้ว่า ยิ่งทำให้ห้างร้านต่างๆ บังคับใช้นโยบายอย่างเข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อผู้ก่อเหตุมีท่าทีก้าวร้าวขึ้นด้วย
โรเบิร์ต โมราคา รองประธานาธิบดีฝ่ายป้องกันความสูญเสียประจำ National Retail Federation (NRF) เปิดเผยต่อ Business Insider ว่า การลักทรัพย์แบบนี้กลายเป็นขบวนการมากขึ้น ถือเป็นเทรนด์ใหม่ที่คุกคามอุตสาหกรรมค้าปลีก
“ในช่วง 18-24 เดือนที่ผ่านมา เราเห็นแนวโน้มอาชญากรรมที่รุนแรงขึ้น แต่ก่อนมีแค่เข้ามาขโมยของ ตอนนี้เริ่มมีการผลักคนให้ล้มลง ต่อยคนอื่น” เขากล่าว
ข้อมูลของ NRF รายงานว่า ค่าความเสียหายที่มาจากการขโมยของ ความผิดพลาด และการต้มตุ๋น สร้างความสูญเสียให้ร้านค้าปลีกหลายรายเป็นมูลค่าเฉลี่ย 1.33 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายต่อปี ในขณะที่แพลตฟอร์มขายสินค้าอย่างอีเบย์หรือเฟซบุ๊ก ช่วยให้การขายของโจรสะดวกขึ้นด้วย
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
