“ถ้าให้พูดแบบไม่อ้อมค้อมคืออาชีพของพวกเราน่าจะใกล้มาถึงจุดจบแล้ว” คนขับ Uber รายหนึ่งโพสต์บนฟอรัม Uberpeople.net
ย้อนกลับไปในสมัยที่การเรียกรถแท็กซี่ยังต้องอาศัยวิธีโบกเรียกตามท้องถนนหรือโทรหาศูนย์บริการเพื่อนัดจองรถให้มารับ ณ สถานที่และเวลาตามที่ลูกค้าต้องการ แต่ Uber Technologies Inc กลับเข้ามาเปลี่ยนแปลงเกมในอุตสาหกรรมนี้ให้ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่ช่วงปี 2009
บริการเรียกรถโดยสารผ่านแอปพลิเคชัน (Ride-hailing) กลายเป็นไอเดียที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกจากฝั่งของผู้ใช้งาน ด้วยจุดขายที่ใช้งานง่ายและสะดวกสบาย แต่หากมองในมุมของฝั่งผู้ให้บริการดั้งเดิม การมาของ Uber รวมถึงแพลตฟอร์มเรียกรถรายอื่นๆ ทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือที่ศัพท์วงการธุรกิจเรียกว่า ‘การถูกดิสรัปต์’
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าธุรกิจแพลตฟอร์มจะเข้ามาดิสรัปต์อุตสาหกรรมรถโดยสาร แต่บทบาทของ ‘มนุษย์’ ยังคงไม่หายไป เนื่องจากคนขับสามารถเลือกที่จะเอาตัวเองเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้
ดิสรัปชันรอบใหม่ที่ ‘มนุษย์’ อาจสูญบทบาท
ตัดภาพกลับมาสู่ปัจจุบัน ‘การถูกดิสรัปต์’ ระลอกใหม่ของวงการรถโดยสารกำลังเกิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะกับคนขับที่ปากท้องของพวกเขาขึ้นอยู่กับการรับส่งผู้คนเพื่อเลี้ยงชีพ เพราะ Waymo สตาร์ทอัพผู้ให้บริการ Robotaxi ไร้คนขับเพิ่งได้เงินลงทุนไปประมาณ 1.68 แสนล้านบาทจาก Alphabet บริษัทแม่ของ Google เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมปีนี้
“การให้ทุนครั้งใหม่รอบนี้จะช่วยให้ Waymo ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของธุรกิจผู้ให้บริการรถโดยสารไร้คนขับระดับโลกได้” Ruth Porat อดีตผู้บริหารสูงสุดสายงานการเงินของ Alphabet กล่าวกับ CNBC
ความเคลื่อนไหวของ Alphabet แสดงให้เห็นทิศทางที่ค่อนข้างจะชัดเจนกับศักยภาพของเทคโนโลยีนี้จนบริษัทบิ๊กเทคระดับโลกยอมทุ่มเงินจำนวนมหาศาลให้
สำนักข่าว The Register สัมภาษณ์คนขับรายหนึ่งที่ประสงค์ใช้นามสมมติว่า Tim ในกรุงซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา โดยเขากล่าวว่า “ในยุคของ AI และเทคโนโลยีสามารถทำงานด้วยตัวมันเอง พวกเรา (คนขับ Uber) กำลังเป็นกลุ่มคนแรกๆ ที่จะถูกแทนที่”
มากไปกว่านั้น Tim ยังให้ข้อมูลเพิ่มว่า รถโดยสารของ Waymo มีสภาพหรูหรากว่าและนั่งสบายกว่า ซึ่ง Uber จะไม่สามารถทำอะไรได้เลยหาก Waymo เลือกที่จะลดราคาค่าโดยสารลงเพื่อดึงดูดผู้ใช้งาน
“เหตุผลหลักที่ Uber เอาชนะตลาดได้เพราะพวกเขาสามารถระดมทุนได้มากกว่าคู่แข่งอื่นในตลาด และสิ่งที่ตามมาคือการนำเงินทุนจำนวนนั้นมาอุดหนุนแพลตฟอร์มให้ค่าโดยสารถูกลง และทันทีที่ค่าโดยสารของ Waymo ถูกกว่า Uber ซึ่งผมมองว่าจะเกิดขึ้นในปี 2025 เมื่อนั้นก็จะเป็นเวลาที่ทุกคนกระโดดไปใช้ Waymo” Tim กล่าว
หากมองกลับไปในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจ Uber บริษัทใช้กลยุทธ์ด้านราคาที่ทำให้ค่าโดยสารบนแพลตฟอร์มอยู่ในระดับต่ำกว่าคู่แข่งจนสามารถดึงลูกค้าเข้ามาใช้งานได้ ซึ่ง Tim มองว่าตอนนี้ Waymo ก็กำลังจะใช้ ‘ตำรากลยุทธ์’ เดียวกันเพื่อถีบคู่แข่งออกไป นั่นคือการนำเงินระดมทุนที่ได้มาอุดหนุนค่าบริการให้ถูกลง
Robotaxi จีน 17 บาท กลยุทธ์ราคาตัดขาคนขับ
ในขณะที่คนขับ Uber ฝั่งสหรัฐฯ คาดว่า Waymo อาจจะลดราคาในอนาคต สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นแล้วกับจีน โดย CNN รายงานว่า การเดินทางในระยะทาง 9 กิโลเมตรโดยรถแท็กซี่ไร้คนขับด้วยการใช้เงินเพียง 0.5 ดอลลาร์สหรัฐ คือเรื่องที่เป็นไปได้แล้ว
Robotaxi เป็นทางเลือกในการโดยสารที่กำลังได้รับความนิยมในเมืองอู่ฮั่นของจีน เนื่องจากราคาอยู่ในระดับต่ำมาก โดยราคาเริ่มต้นของ Robotaxi ในจีนจากบริษัท Apollo Go อยู่ที่ราว 17 บาท (0.55 ดอลลาร์สหรัฐ) เทียบกับ 84 บาท (2.48 ดอลลาร์สหรัฐ) จากแท็กซี่แบบเดิม ซึ่งถูกกว่าถึง 4 เท่าตัว
Apollo Go เป็นบริษัทในเครือบิ๊กเทคจีน Baidu ที่ตอนนี้เป็นผู้ให้บริการรถโดยสารไร้คนขับ 500 คันในอู่ฮั่น และตั้งเป้าจะขยายให้ได้ 1,000 คันภายในสิ้นปีนี้
การมาของ Apollo Go พร้อมกับกลยุทธ์ด้านราคาที่ต่ำสุดขีดจุดชนวนให้ชาวจีนบางคนรู้สึกไม่พอใจกับการดำเนินธุรกิจด้วยวิธีนี้ จนกลายเป็นประเด็นติดเทรนด์อันดับ 2 ในแพลตฟอร์ม Weibo ซึ่งหนึ่งในผู้ใช้งานโพสต์ว่า “การดิสรัปต์ตลาดเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย เพราะนี่มันคือการแย่งชามข้าว (รายได้) ของคนทำอาชีพนี้ไป”
‘กำไร’ กำแพงที่ (ยัง) ต่อลมหายใจให้ผู้ขับแท็กซี่
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ว่า Robotaxi จะเข้ามาแทนที่คนขับรถโดยสารในวงกว้างทั่วโลกยังคงเป็นคำถามปลายเปิดอยู่ เพราะหากเราไปดูข้อมูลการดำเนินธุรกิจในกรณีของ Waymo ในครึ่งปีแรก พวกเขาขาดทุนไปแล้วราว 6.72 หมื่นล้านบาท (ประมาณ 40% ของเงินระดมทุนที่ได้จาก Alphabet) ตามรายงานของ The New York Times
อีกทั้ง Emil Michael หัวหน้าฝ่ายธุรกิจของ Uber เผยว่า ต้นทุนการผลิตรถยนต์ไร้คนขับของ Waymo อยู่ที่ประมาณคันละ 10 ล้านบาท ซึ่งเขาคิดว่าต้นทุนที่สูงระดับนี้ไม่น่าจะทำให้การแทนที่ของงานเกิดขึ้นในเร็ววันนี้
สำหรับประเทศไทย แม้ว่าบ้านเราอาจจะยังไม่มี Robotaxi เข้ามาให้บริการ แต่ครั้งหนึ่งที่ Uber และแพลตฟอร์ม Ride-hailing บุกเข้ามาในประเทศ ผู้ประกอบการเดิมก็จำเป็นต้องปรับตัว ซึ่งเทรนด์ Robotaxi เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังขยายตัวนอกประเทศไทย และเราอาจจำเป็นต้องหาทางรับมือไว้ด้วยเช่นกัน
ภาพ: DawidMarkiewicz / Getty Images
อ้างอิง: