วันนี้ (31 ตุลาคม) ที่กระทรวงการต่างประเทศ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงการที่ มาทีอัส คอร์มันน์ เลขาธิการองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เดินทางมาเยือนไทยเพื่อหารือการเข้าเป็นสมาชิกOECD ว่า เลขาธิการ OECD เดินทางมาด้วยตัวเอง โดยหารือกับ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รวมถึงหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน
มาริษกล่าวอีกว่า การเยือนของเลขาธิการ OECDเป็นการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ มีวัตถุประสงค์ 2-3 อย่าง และเป็นการเริ่มเข้าสู่กระบวนการเป็นสมาชิก OECDของไทย โอกาสนี้เลขาธิการ OECDหารือกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มกระบวนการกับภาคราชการของไทย
“ท่านได้รับทราบว่าความพร้อมของประเทศไทยไปถึงไหน มีข้อจำกัดอย่างไรในการที่จะเข้าร่วมกระบวนการของการเป็นสมาชิก ทำให้OECD มาเห็นและรับทราบ ทุกภาคส่วนของไทยก็รับทราบว่าเราต้องปฏิบัติตัวอย่างไร มีผลดีและผลกระทบอย่างไร” มาริษกล่าว
มาริษกล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรีและตนย้ำว่า เราต้องการเข้าเป็นสมาชิกของ OECDซึ่งผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับในครั้งนี้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มีการคำนวณว่าจะทำให้เศรษฐกิจของเราเติบโตขึ้นถึง 1.6% เนื่องจากเราจะเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจได้ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งก้าวข้ามรายได้ปานกลาง เนื่องจากประเทศไทยต้องปฏิรูปทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
“ถามว่าเราปฏิรูปอยู่หรือไม่ เราก็ปฏิรูปอยู่ แต่บางครั้งเราจำเป็นต้องมีมาตรฐานเป็นตัวชี้วัดว่าการปฏิรูปของประเทศก้าวไปสู่การก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางหรือยัง การเข้าเป็นสมาชิก OECDจะทำให้ประเทศไทยมีมาตรฐานที่ชัดเจนและโปร่งใส กฎระเบียบทั้งหลายที่ทำให้เราเข้าเป็นสมาชิกภาคีกับเขา จะทำให้เรายกระดับทั้งหมดเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ทุกอย่างต้องโปร่งใส” มาริษกล่าว
OECD เห็นศักยภาพไทย พร้อมขยายกลุ่มครอบคลุมประเทศกำลังพัฒนา
มาริษยังกล่าวว่า OECDมองเห็นถึงศักยภาพและความสำคัญของประเทศไทย จึงเป็นที่มาของเหตุผลที่ OECDต้องการให้ประเทศไทยเข้าเป็นประเทศสมาชิก ในอดีตหลายคนพูดถึงกลุ่มประเทศ OECDว่าเป็น Rich Men Club หรือคลับของคนรวย หรือกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่หลังจากที่ OECDพัฒนาไปเรื่อยๆ ก็เห็นว่าท้ายที่สุดแล้ว การที่จะทำให้โลกทั้งใบอยู่ในมาตรฐานสากลเป็นสิ่งสำคัญ จึงขยายกรอบให้ครอบคลุมถึงประเทศกำลังพัฒนา
นอกจากนี้ประเทศไทยต้องการมีบทบาทนำในการขับเคลื่อนให้ประเทศที่กำลังพัฒนามีสิทธิ์มีเสียงที่จะกำหนดทิศทางของโลก รวมทั้งทำให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถตอบโจทย์มากยิ่งขึ้นในการเข้ามาในธุรกิจการค้าอย่างเป็นธรรม และมีความโปร่งใสมากขึ้น
มาริษยังย้ำถึงจุดแข็งของประเทศไทยว่า เราสามารถพูดและทำให้เขาเห็น เช่น การนำมาตรฐานของ OECDไปช่วยโปรโมตเพื่อให้ประเทศที่กำลังพัฒนาเห็นความสำคัญ และเข้ามาร่วมในการทำให้ประเทศมีมาตรฐานสากลมากขึ้น OECDก็จะเห็นว่าประเทศกำลังพัฒนามีคุณค่าในมิติด้านต่างๆ เราจะทำให้ OECDต้องฟังในสิ่งที่ประเทศกำลังพัฒนาต้องการ ทั้งนี้ ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีก็ต้องการเห็นประเทศไทยเข้าไปอยู่ในจอเรดาร์มากขึ้นด้วย
ไทยร่วม OECD ภายใน 5 ปี ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุกฝ่าย
จากนั้นมาริษตอบคำถามสื่อมวลชนว่า การเข้าเป็นสมาชิกของ OECDสามารถดำเนินการควบคู่ไปกับการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่อยู่คนละขั้วอำนาจได้ทันที เรามองความร่วมมือในกรอบของการพัฒนา ไม่ได้เป็นการรวมกลุ่มทางการเมือง เป้าหมายของประเทศไทยคือพัฒนาให้เกิดความยั่งยืน ไม่ได้ให้เกิดการแตกแยก
เมื่อถามว่าในกรอบการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม สิ่งที่เป็นเงื่อนไขในการเตรียมความพร้อมที่ยากที่สุดคืออะไร มาริษกล่าวว่า ตนคิดว่าไม่ได้มีความยากลำบาก เพราะต่อให้ไม่มี OECDตนคิดว่าประเทศไทยก็ขับเคลื่อนไปสู่การเป็นมืออาชีพ มาตรฐานที่สูงขึ้นอยู่แล้ว เราต้องพัฒนาตัวเราเพื่อปฏิรูปประเทศให้มีความอยู่ดีกินดีมากขึ้น แต่การที่เราเป็นสมาชิก OECDสามารถทำให้เราเร่งรัดกระบวนการเหล่านี้ได้
“ผมคิดว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนของประเทศไทยต้องการที่จะปฏิรูปอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามีคนมาช่วยทำให้ปฏิรูปได้เร็วขึ้น เป็นที่ต้องการและมีมาตรฐานสากล เพราะฉะนั้นผมเห็นถึงประโยชน์ที่สำคัญของการเข้าเป็นสมาชิกOECD” มาริษกล่าว
ส่วนเป้าหมายของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะเข้าเป็นสมาชิก OECDภายใน 5 ปีเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน กระทรวงการต่างประเทศสามารถเร่งรัดการเตรียมความพร้อมภายในประเทศไทยอย่างไร มาริษกล่าวว่า ก็ต้องพูดคุยกัน กระทรวงการต่างประเทศดูเรื่องนโยบาย ตนก็กำชับกระทรวงการต่างให้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
มาริษกล่าวด้วยว่า การที่เราจะเข้าร่วม OECDได้ภายใน 5-10 ปีก็เป็นเรื่องการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เราเข้าไปช่วยเติมเต็มในส่วนที่เขาขาด แน่นอนว่าเราเข้าไปมีส่วนช่วยเพื่อให้เกิดได้เร็วที่สุด ซึ่งจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุกหน่วยราชการและทุกภาคส่วน