×

หุ้น Best of the Best ภายใต้วิกฤตภาคธนาคารในสหรัฐฯ และยุโรป

27.03.2023
  • LOADING...

เกิดอะไรขึ้น:

ตั้งแต่ต้นปี 2566 จนถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยอยู่ในทิศทางขาลง (เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 SET Index ปรับลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,518.66 จุด ต่ำสุดในรอบ 8 เดือนนับตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2565) ซึ่งมีสาเหตุมาจาก 

 

  1. ผลประกอบการ 4Q65 ของ บจ.ไทย แย่กว่าที่ตลาดคาด 
  2. ความกังวลว่า Fed จะดำเนินนโยบายดอกเบี้ยเชิงรุกเพื่อคุมเงินเฟ้อ 
  3. ล่าสุดตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2566 เกิดความกังวลว่าเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินจะได้รับผลกระทบจากการปิดกิจการของธนาคารในสหรัฐฯ (Silicon Valley Bank and Signature Bank) 

 

อีกทั้ง Credit Suisse ยังขอความช่วยเหลือต่อธนาคารกลางสวิสหลังประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง จึงส่งผลให้มีแรงขายลดความเสี่ยงในหุ้นแทบทุกกลุ่มในตลาดหุ้นไทย ถึงแม้ว่า ธปท. จะระบุว่า ผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยมีจำกัดแล้วก็ตาม 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


ทั้งนี้ InnovestX เปรียบเทียบสถานการณ์วิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นในปี 2566 และ 2551 พบว่า สิ่งที่เหมือนกันคือ เศรษฐกิจเปราะบางมากขึ้นในช่วงดอกเบี้ยปรับขึ้น มีเงินเฟ้อเป็นปัจจัยกดดันจากราคาพลังงาน ธนาคารมีปัญหาขาดสภาพคล่อง และเกิดการควบรวมกิจการของกลุ่มธนาคารเล็กโดยธนาคารใหญ่ 

 

อีกทั้งการตอบสนองของราคาในช่วงเกิดปัญหามีความคล้ายกัน ขณะที่สิ่งที่ต่างกัน คือ ปี 2551 จุดเริ่มต้นเกิดจากภาคอสังหา ส่วนปี 2565-2566 เกิดจากกลุ่มเทคโนโลยีและโควิด โดยปี 2566 ธนาคารกลางเข้ามาช่วยอัดสภาพคล่องได้เร็วกว่าปี 2551 ทำให้ผลกระทบจำกัด อีกทั้งฐานะการเงินของบริษัททั่วโลกและเศรษฐกิจในภาพรวมแข็งแรงกว่า รวมทั้งมีความเชื่อมโยงตราสารอนุพันธ์ที่น้อยกว่า

 

อย่างไรก็ตาม นโยบายการเงินตึงตัวยังเป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตา และอาจกระทบต่อสถานการณ์สภาพคล่องในภาคธนาคารที่อาจลุกลามสู่ตลาดการเงินเป็นวงกว้างได้ โดยในฝั่งของนโยบายการเงิน ธนาคารกลางหลักทั้ง Fed และ ECB ยังคงดำเนินนโยบายทางการเงินตึงตัวขึ้นต่อเนื่องเพื่อคุมเงินเฟ้อ โดย Fed ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 25 bps มาอยู่ที่ระดับ 4.75-5.00% ตามที่ตลาดคาด พร้อมทั้งปรับลดประมาณการ GDP ลงเล็กน้อย ขณะที่ยังคงดอกเบี้ยขั้นสุดท้าย (Terminal Rate) ที่ 5.1% ส่วน ECB ขึ้นดอกเบี้ยอีก 50 bps ตามที่ได้ส่งสัญญาณมาตั้งแต่การประชุมครั้งก่อน 

 

โดยทั้งสองธนาคารยังคงจุดยืนที่จะลดอัตราเงินเฟ้อให้ลงมาสู่กรอบเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องทำให้ดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ในปัจจุบันที่ 4.8% สูงกว่าดอกเบี้ยระยะยาว 10 ปีที่ 3.5% บ่งชี้สภาพ Inverted Yield Curve ที่รุนแรงขึ้น 

 

ด้านมาตรการรักษาเสถียรภาพภาคการเงินก็อาจมีความเสี่ยงมากขึ้น หลังจากที่ เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวต่อสภาว่า รัฐบาลไม่ได้ประกาศที่จะประกันเงินฝากเต็มจำนวนร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกธนาคาร ต่างจากสัญญาณที่ส่งไว้ก่อนหน้านี้ที่พร้อมจะเพิ่มการประกันเงินฝากมากกว่าระดับปัจจุบัน 

 

บ่งชี้ว่า ธนาคารขนาดกลางและเล็ก (Regional Bank) ยังคงเสี่ยงต่อการที่เงินฝากไหลออกอย่างต่อเนื่อง (Silence Bank Run) ซึ่งทั้ง Inverted Yield Curve และ Silence Bank Run ประกอบกับนโยบายภาครัฐที่ไม่ชัดเจนจะกระทบความเชื่อมั่น รวมถึงแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ และอาจนำไปสู่การตึงตัวของสภาพคล่องเป็นวงกว้างในระยะต่อไป

 

มุมมองตลาดและกลยุทธ์การลงทุน: 

InnovestX Research ประเมินว่า ภาพรวมตลาดการเงินโลกยังคงมีเสี่ยงและเปราะบางจากผลกระทบของวิกฤตธนาคารขนาดกลางสหรัฐฯ และธนาคารในยุโรปที่ยังคงต้องติดตามต่อไป ทั้งนี้ ผลการประชุม FOMC และ ECB ที่ยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปสะท้อนว่า ยังคงให้น้ำหนักกับเรื่องเงินเฟ้อ ทำให้รัฐบาลยังคงต้องเตรียมมาตรการอื่นๆ อีก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาดต่อไป 

 

อย่างไรก็ตาม การออกมาตรการที่รวดเร็วในช่วงที่เกิดวิกฤตสภาพคล่องที่เพิ่งผ่านมา ช่วยลดความเสี่ยงที่วิกฤตจะลุกลามได้ดี 

 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนนั้น InnovestX Research ประเมินว่า เป็นโอกาสซื้อสะสมในช่วงตลาดผันผวน เนื่องจากวิกฤตรอบนี้กระทบภาพรวมตลาดเป็นหลัก ในขณะที่ผลกระทบต่อภาคธุรกิจมีจำกัด โดย InnovestX Research ได้คัดเลือก 5 หุ้นเด่นที่ดีที่สุดในบรรดา 27 หุ้นที่อยู่ภายใต้การดูแล ซึ่ง InnovestX Research แนะนำ Outperform ได้แก่ AU, BBL, BDMS, CPALL และ GULF 

 

โดยมีจุดแข็งร่วมกันคือ 

 

  1. เป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรมของไทย ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และยังมีศักยภาพเติบโตได้ในระยะยาว 

 

  1. กำไรอยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยปี 2566-2567 คาดว่ากำไรจะเติบโตดีและสูงกว่าหุ้นกลุ่ม Outperform ที่คาดว่าจะมีกำไรเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ปีละ 8.5% 

 

  1. Valuation ไม่แพง โดยราคาหุ้นปรับลงมาซื้อ-ขายด้วย PER และ PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่บริเวณ -1.0 ถึง -2.0 S.D. ทำให้มองเริ่มมี Downside จำกัด ขณะที่มี Upside เกิน 20% จากราคาเป้าหมายของ InnovestX Research
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising