×

ตลาดตราสารหนี้สร้างผลตอบแทนดีต่อเนื่อง SCB WEALTH คาดหุ้นกู้ไทยออกใหม่อีก 1 ล้านล้านบาทปีนี้

01.02.2024
  • LOADING...

SCB WEALTH มองตลาดตราสารหนี้ในปี 2567 ยังสร้างผลตอบแทนได้ดีจากอานิสงส์ดอกเบี้ยคงอยู่ในระดับสูง และมีแนวโน้มปรับตัวลงในอนาคต หุ้นกู้ส่วนใหญ่อายุเฉลี่ยยาว จ่ายดอกเบี้ยรับคงที่ แนะลงทุนหุ้นกู้ต่างประเทศ Investment Grade ระวังการลงทุนในหุ้นกู้ต่างประเทศ High Yield หวั่นมีความเสี่ยงการชำระหนี้  โดยเฉพาะผู้ออก Rollover ช่วงดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง ส่วนหุ้นกู้เอกชนไทยไม่น่ากังวล มี High Yield ต่ำกว่า 10% ของตราสารหนี้ในตลาดทั้งหมด คาดปีนี้มีหุ้นกู้ออกใหม่ประมาณ 1 ล้านล้านบาท เป็น High Yield จำนวน 1.3 แสนล้านบาท แนะควรกระจายความเสี่ยง ลงทุนในแต่ละหลักทรัพย์ไม่มาก และศึกษาเงื่อนไขการลงทุนอย่างรอบคอบ หากไม่พร้อมลงทุนด้วยตนเอง แนะเลือกลงทุนผ่านกองทุน SCBDBOND 

 

ศรชัย สุเนต์ตา CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ในปี 2567 คาดว่าจะยังสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง จากการที่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงสุดและมีแนวโน้มปรับตัวเป็นขาลงในอนาคต จึงเป็นจังหวะที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ ซึ่งตราสารหนี้ทั่วโลกส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ยยาวและจ่ายดอกเบี้ยรับ (Coupon) คงที่ โดยเมื่ออัตราดอกเบี้ยพันธบัตรลดลง ราคาของพันธบัตรมักจะปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนนอกจากจะได้รับผลตอบแทนจาก Coupon แล้ว ยังจะได้รับผลตอบแทนจาก Capital Gain เพิ่มอีกด้วย

 

ทั้งนี้ จากการศึกษาข้อมูลในอดีตพบว่า นับจากวันที่ดอกเบี้ยปรับขึ้นครั้งสุดท้ายไปอีก 12 เดือนข้างหน้า ตราสารหนี้ต่างประเทศจะทำผลงานได้ค่อนข้างดี เช่น ในปี 2527, 2532, 2538, 2543, 2549 และ 2551 เมื่อดอกเบี้ยแตะระดับสูงสุดแล้วหยุดขึ้น หุ้นกู้สามารถให้ผลตอบแทนได้ในระดับ 10-24% และเมื่อเข้าสู่วงจรที่ดอกเบี้ยเริ่มปรับลดลงใน 1-2 ครั้งแรกใน 6-12 เดือนข้างหน้า ตราสารหนี้ก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่สามารถทำผลงานได้ดีมากกว่าค่าเฉลี่ยที่ทำได้ 

 

ในขณะที่สินทรัพย์เสี่ยง อาทิ หุ้น เมื่ออยู่ในช่วงดอกเบี้ยหยุดขึ้นอาจจะยังทำผลงานได้ดี แต่เมื่อดอกเบี้ยเริ่มลดลงครั้งแรก จะทำผลงานได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย (Underperform)  หรืออาจให้ผลตอบแทนติดลบ

 

สำหรับภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในปีที่ผ่านมาสร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี โดยกลุ่มตราสารหนี้ภาคเอกชนที่อยู่ในระดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าที่ลงทุนได้และมีความเสี่ยงสูง ประเภทหุ้นกู้ High Yield สหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนสูงสุดประมาณ 13.5% เป็นผลจากตลาดเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเศรษฐกิจดีขึ้นในช่วงปลายปี โดยมองว่าเศรษฐกิจจะมีทิศทางชะลอตัวอย่างช้าๆ (Soft Landing) จากช่วงต้นปีที่มองว่าเศรษฐกิจอาจเกิดภาวะถดถอย (Recession) นักลงทุนจึงพร้อมเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น (Risk On) เป็นผลบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง ทำให้สร้างผลงานได้ดีช่วงปลายปี รวมถึงตราสารหนี้ High Yield ด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ในปี 2567-2568 จะเริ่มมีอุปทาน High Yield ออกสู่ตลาดมากขึ้น เนื่องจากมีบริษัทจำนวนมากที่ต้องการออกหุ้นกู้ High Yield เพื่อนำไปชำระหนี้เดิม (Rollover) แม้จะมีความท้าทายที่จะต้องออกหุ้นกู้ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น ในขณะที่งบดุลของบริษัทที่ออกตราสารประเภทนี้อาจไม่ได้ดีเท่ากับช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้มองว่าตราสารหนี้ High Yield อาจไม่น่าสนใจลงทุน และต้องระมัดระวังความเสี่ยงจากการ Rollover มากขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงที่มาจากความสามารถในการชำระหนี้กรณีที่ต้อง Rollover ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง

 

ทั้งนี้ จึงแนะนำให้นักลงทุนควรมีตราสารหนี้ไว้เป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพราะเป็นสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดได้ดีกว่าในอดีตที่ผ่านมา หากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้ในระดับค่อนข้างต่ำ ควรมีตราสารหนี้ประมาณ 70-80% ของพอร์ต ส่วนที่เหลือเป็นสินทรัพย์เสี่ยง แต่หากรับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูง อาจมีตราสารหนี้ 50-60% และส่วนที่เหลือเป็นสินทรัพย์เสี่ยง

 

ศรชัยกล่าวว่า การลงทุนในหุ้นกู้เอกชนไทยโดยส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) ขณะที่ตราสารหนี้ High Yield หรือตราสารหนี้ที่ไม่ได้จัดอันดับเครดิตมีต่ำกว่า 10% ของหุ้นกู้ทั้งหมด ดังนั้นตลาดโดยรวมจึงยังไม่น่าเป็นห่วง และคาดว่าในปีนี้จะมีการออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบอายุประมาณ 1 ล้านล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่ม Investment Grade มีความต้องการซื้อเข้ามาตลอดเวลา จึงไม่มีปัญหาในการ Rollover เมื่อมีการออกหุ้นกู้ใหม่ 

 

ส่วนหุ้นกู้ประเภท High Yield ออกใหม่คาดว่าจะมีประมาณ 1.3 แสนล้านบาท มากกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งเรามองว่าต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น ควรเน้นคัดเลือกอุตสาหกรรมที่ไม่น่ากังวล มีหนี้สินต่อทุนยังต่ำ และแนวโน้มธุรกิจมีการเติบโตได้ดี

 

สำหรับข้อแนะนำการลงทุนในหุ้นกู้ High Yield ควรกระจายความเสี่ยง ลงทุนในแต่ละตัวไม่มาก และให้ความสำคัญในการดูเงื่อนไขของหุ้นกู้ประกอบให้มาก เช่น เป็นหุ้นกู้ประเภทไหน มีหลักประกันหรือไม่ หลักประกันนี้ยึดได้ทันทีที่ผิดนัดชำระเลยหรือไม่ เป็นต้น 

 

นอกจากนี้ควรลงทุนหุ้นกู้ที่มีระดับความเสี่ยงลดลงเรื่อยๆ ตามอายุที่มากขึ้น ส่วนในกรณีที่มองว่าไม่สามารถคัดเลือกหุ้นกู้เองได้แบบละเอียดถี่ถ้วน แนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนรวม เช่น กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Dynamic Bond หรือ SCBDBOND ที่เน้นคัดเลือกลงทุนเฉพาะตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนที่มีคุณภาพสูง อยู่ในระดับ Investment Grade ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่จะสามารถช่วยลดความกังวลต่อเครดิตเรตติ้งของตราสารหนี้ให้นักลงทุนได้ระดับหนึ่ง กองทุนนี้มีความยืดหยุ่น ผู้จัดการกองทุนสามารถปรับกลยุทธ์เพิ่มหรือลดอายุของตราสารหนี้ (Duration) เพื่อให้สอดคล้องกับจังหวะตลาด ช่วยสร้างผลตอบแทนบนสภาวะดอกเบี้ยในสถานการณ์ดอกเบี้ยทุกรูปแบบได้    

 

คำเตือน:

  • การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
  • กองทุน SCBDBOND เป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ มีความเสี่ยงระดับ 4 คือ ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ
  • เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
  • ศึกษาข้อมูลกองทุนหลักและหนังสือชี้ชวนกองทุนรวมเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ไทยพาณิชย์ จำกัด
  • สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 0 2777 7777
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising