×

ผลสำรวจชี้ ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งไม่มีความสุขในการทำงาน

23.08.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins read
  • ผลสำรวจเผยว่า ช่วงอายุ 18-34 ปี เป็นช่วงอายุที่คนวัยทำงานส่วนใหญ่มีความสุขมากที่สุด เนื่องจากได้เรียนรู้และทดลองทำอะไรใหม่ๆ โดยเฉพาะในปีแรกของการทำงาน
  • ในขณะที่คนทำงานอายุ 35 ปีขึ้นไป กลับมีความสุขในการทำงานลดลง ไฟและความกระหายที่เคยอยากจะทำงานและมีความสุขในทุกๆ วันหายไป เนื่องจากคนส่วนใหญ่รู้สึกเหนื่อยล้ากับการไล่ตามความสำเร็จที่ (อาจจะ) ยังมาไม่ถึงสักที

     คุณรู้สึกมีความสุขที่สุดในการทำงาน ครั้งสุดท้ายเมื่อไร

     “เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังโปรเจกต์ที่ทำผ่านไปได้ด้วยดี”

     “เมื่อวานนี้เองค่ะ หลังจากที่พรีเซนต์งานให้ทีมผู้บริหารพิจารณาแล้วผลตอบรับออกมาดีเกินคาด”

     “จริงๆ ผมมีความสุขทุกวันที่ได้ทำงานใหม่ๆ เจอผู้คนมากมายครับ”

     หรือ

     “ทำไมเราไม่เห็นมีความสุขกับงานที่ทำอยู่เลย”

 

 

     ‘ความสุขในการทำงาน’ กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดในโลกของการทำงาน บริษัทและทีมผู้บริหารจำนวนไม่น้อยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เนื่องจากความรู้สึกด้านบวกจะส่งผลต่อความสามารถและประสิทธิภาพในการทำงานโดยตรง

     ไอโลนา โบนิเวล ซีอีโอของสถาบันพัฒนาบุคลิกภาพ Positran และหัวหน้าภาควิชาจิตวิทยาประยุกต์เชิงบวก ประจำมหาวิทยาลัย Anglia Ruskin กล่าวว่า

     “งานที่ถูกออกแบบมาโดยมีข้อปฏิบัติที่สร้างแรงจูงใจและสร้างความสุขในการทำงานให้แก่ลูกจ้าง มีการสื่อสารระหว่างกันที่ชัดเจน มีความรู้สึกร่วมกับองค์กร รวมถึงวิสัยทัศน์ขององค์กรสอดคล้องกับจุดประสงค์ของเรา

     “สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้บริษัทหรือองค์กรต่างๆ สามารถสร้างทีมงานที่มีคุณภาพได้ไม่ยาก”

     บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการจัดหางานของโลกอย่าง Robert Half เผยข้อสรุปจากการสำรวจความคิดเห็นของคนวัยทำงานกว่า 24,000 คน จาก 8 ประเทศทั่วโลก พบว่า

  • คนส่วนใหญ่มีความสุขที่สุดในปีแรกของการทำงาน เนื่องจากได้เรียนรู้และทดลองทำอะไรใหม่ๆ
  • ช่วงอายุ 18-34 ปี เป็นช่วงอายุที่คนวัยทำงานส่วนใหญ่มีความสุขที่สุด มีเพียง 8% เท่านั้นที่บอกว่าตัวเองไม่มีความสุขกับการทำงานเลย  
  • ในขณะที่เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงวัย 35-49 ปี ความสุขในการทำงานกลับลดต่ำลง ไฟและความกระหายที่เคยอยากจะทำงานและมีความสุขในทุกๆ วันหายไป เนื่องจากคนส่วนใหญ่รู้สึกเหนื่อยล้ากับการไล่ตามความสำเร็จที่ (อาจจะ) ยังมาไม่ถึงสักที เป็นช่วงอายุที่คนทำงานพบว่าตัวเองไม่มีความสุขกับการทำงานเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าของช่วงอายุ 18-34 ปี
  • จำนวนพนักงานบริษัท 100-249 คน สามารถเอื้อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่สร้างความสุขในการทำงานได้มากที่สุด นอกจากนี้บริษัทหรือองค์กรไหนมีพนักงานมากกว่า 10,000 คน พบว่า 62.5% ไม่มีความสุขกับการทำงาน
  • อาชีพที่เกี่ยวข้องกับด้านการตลาดและครีเอทีฟ เป็นสายงานที่คนทำงานส่วนใหญ่มีความสุขที่สุด
  • สาเหตุสำคัญที่ทำให้ความสุขในการทำงานลดลงคือ การเลือกทำงานที่ตนไม่ได้สนใจและอยากจะทำตั้งแต่แรก แรงกดดันจากหัวหน้างาน การขาดพื้นที่และอิสระในการใช้ความคิดสร้างสรรค์และเสนอความคิดเห็น รวมถึงการสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ

 

 

     คนส่วนใหญ่ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนงานหรือลาออกจากบริษัทเดิมโดยประเมินจากความสุขของตัวเองที่มีต่องานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน แม้จะมีค่าตอบแทนที่สูง หรือมีเจ้านายที่แสนดี แต่ไม่มีความสุข การออกเดินทางอีกครั้งเพื่อค้นหาตัวเองและตามหางานที่อยากทำจริงๆ อาจจะเป็นคำตอบที่ดีกว่า

     นิก มาร์กส์ หัวหน้าทีมสำรวจความสุขในการทำงานของ Robert Half กล่าวว่า “คนที่มีความสุขในการทำงาน มีแนวโน้มที่จะใส่ใจต่องานที่ได้รับมอบหมายมากกว่าคนที่ไม่มีความสุขถึง 12% พวกเขาจะสังเกตถึงสิ่งที่ไม่ถูกต้องของงานนั้นๆ และคิดป้องกันผลกระทบด้านลบที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา”

     ความสุขในการทำงานของคนภายในองค์กรจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรถูกมองข้าม

 

แล้วอะไรล่ะที่ขับเคลื่อนความสุขในการทำงาน

     ความสุขในการทำงานคือคำที่พวกเราส่วนใหญ่ใช้ในการสรุปสิ่งที่ได้หรือประสบการณ์จากการทำงานในแต่ละวัน โดยสะท้อนความรู้สึกด้านบวกและเป็นที่น่าพึงพอใจ ซึ่งในบางครั้งความสุขที่เราใช้ประเมินนั้นอาจจะไม่ได้เกิดตลอดทั้งวัน แม้บางช่วงเวลาจะรู้สึกหงุดหงิดและอารมณ์เสียบ้าง เนื่องจากงานไม่เดินหน้า หรือพบอุปสรรคระหว่างการทำงาน เราก็ยังถือว่าคุณอาจจะยังมีความสุขกับการทำงานอยู่ หากความรู้สึกด้านลบเหล่านั้นเกิดขึ้นกับคุณเพียงแค่ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

     5 สิ่งสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนความสุขในการทำงาน ได้แก่

  1. การเลือกงานที่เหมาะกับตัวเอง ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนที่รู้จักตัวเองดีพอแล้วว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร และต้องการที่จะทำอะไร ความเป็นตัวของตัวเองจะช่วยให้บริษัทหรือองค์กรตัดสินใจรับคุณเข้าทำงานได้ง่ายขึ้น ในขณะที่คนที่กำลังสับสนและค้นหาตัวเองอยู่ในขณะนี้ การกำหนดช่วงเวลาให้กับการลองผิดลองถูกของตัวเองต่องานที่กำลังทำอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด
  2. การสร้างพลังด้านบวกเสมอๆ ถือว่าเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะส่งผลให้งานที่ได้รับมอบหมายออกมามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และถ้าหากบริษัทหรือองค์กรเป็นผู้สนับสนุนให้เกิดพลังด้านบวกในการทำงานด้วยแล้วจะยิ่งส่งผลดีต่อตัวบริษัทหรือองค์กรเอง พนักงานจะรู้สึกว่าเขามีพื้นที่และมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ที่ได้รับมอบหมาย
  3. รู้สึกชื่นชมและภาคภูมิใจกับงานที่ทำ คนจำนวนมากพยายามทำตามคำกล่าวที่ว่า เลือกทำงานที่รักสิ ทุกวันที่ตื่นขึ้นมาจะได้รู้สึกว่าเหมือนไม่ได้กำลังทำงานอยู่ ถ้าเราทำตามข้อที่ 1 ได้ ข้อนี้ก็จะเกิดขึ้นได้อย่างไม่ยากเย็น แต่การรู้จักตนเองนี่สิ อาจจะเป็นปัญหาใหญ่
  4. ความยุติธรรมที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงาน เป็นเรื่องสำคัญที่บริษัทหรือองค์กรควรให้ความสำคัญ เนื่องจากความไม่เท่าเทียมกันและความรู้สึกเลือกที่รักมักที่ชังมากจนเกินไปจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานคนอื่นๆ และภาพรวมของบริษัท
  5. มีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ผลสำรวจพบว่า ใครก็ตามที่มีเพื่อนร่วมงานที่ดี เขามีแนวโน้มที่จะมีความสุขในการทำงานมากกว่าคนที่ไม่ชอบเข้าสังคม หรือมีเพื่อนร่วมงานไม่ดีถึง 2.7 เท่าเลยทีเดียว

 

     ลองพิจารณาปัจจัยที่สร้างความสุขได้โดยเริ่มที่ตัวคุณเองก่อน ถ้าคำตอบที่ได้ยังไม่ตอบโจทย์กับชีวิตในช่วงเวลานี้ ลองตั้งเป้าหมายเล็กๆ ของคุณเองดู เริ่มจากการสำรวจตรวจสอบตัวเอง มีความฝันอะไรบ้างไหมที่ตัวคุณยังไม่ได้ลองลงมือทำ ไม่แน่ว่าอะไรก็ตามที่เป็นความฝันและเป็นสิ่งที่คุณต้องการจะทำ อาจนำมาซึ่งความสุขในการทำสิ่งนั้นได้ไม่ยาก โดยไม่ได้คำนึงว่าคุณจะอยู่ในช่วงอายุใดก็ตาม

 

     เพราะเราเชื่อว่า #ทุกความสุขเกิดขึ้นได้

 

อ้างอิง: 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising