×

‘ไมเนอร์’ คาด ปี 2565 จะพลิกกลับมาทำ ‘กำไร’ ครั้งแรกในรอบ 2 ปี อันเป็นผลจากการฟื้นตัวของทั้งธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร

14.03.2022
  • LOADING...
ไมเนอร์

หากตัดรายการพิเศษ (ส่วนใหญ่เป็นขาดทุนจากการตีราคาที่ดินใหม่และการด้อยค่าของสินทรัพย์) ออกไป พบว่าผลการดำเนินงานของ ‘บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT’ ในไตรมาส 4/2464 ได้ฟื้นตัวกลับมามีกำไรปกติเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2562 ที่ด้วยตัวเลข 1.7 พันล้านบาท 

 

สำหรับทั้งปี 2564 รายงานขาดทุนสุทธิ 1.31 หมื่นล้านบาท และหากตัดรายการพิเศษออกไป พบว่าบริษัทมีขาดทุนปกติ 9.3 พันล้านบาท ซึ่งดีกว่าขาดทุนปกติ 1.9 หมื่นล้านบาท ในปี 2563

 

ตัวเลขผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ MINT กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า “เป็นไปได้ที่ปี 2565 MINT จะฟื้นตัวกลับมาทำกำไร”

 

ธุรกิจโรงแรมฟื้นตัว

ชัยพัฒน์ฉายภาพว่า การฟื้นตัวของธุรกิจเริ่มเห็นตั้งแต่ไตรมาส 3/2564 โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมในยุโรปจาก NH Hotel Group (NHH) ซึ่งอัตราเข้าพักได้เพิ่มขึ้นเป็น 50% และเพิ่มขึ้นเป็น 60% ในเดือนตุลาคม ซึ่งทำให้เห็นถึงการฟื้นตัว

 

‘โรงแรม’ ถือเป็นธุรกิจหลักของ MINT ด้วยสัดส่วนรายได้จากการดำเนินการกว่า 68% ปีที่ผ่านมา มีรายได้รวม 50,530 ล้านบาท จากโรงแรมในเครือรวม 527 แห่ง ใน 55 ประเทศ จำนวน 75,621 ห้อง

 

ส่วนหนึ่งของการฟื้นตัวมาจากการตรึงราคาห้องพักไม่ได้ลด แลก แจก แถม จนไปกระทบกับกำไร โดยในช่วงครึ่งปีแรก 2564 มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 73 ยูโรต่อคนต่อห้อง ในไตรมาส 3 ได้เพิ่มเป็น 91 ยูโร และขยับเป็น 98 ยูโรในเดือนตุลาคม 

 

ขณะที่ธุรกิจอาหารซึ่งทำรายได้ 28% เป็นส่วนที่ MINT สบายหายห่วงเพราะทำ ‘กำไร’ 6 ไตรมาสติดต่อกัน จากร้านอาหารที่ลงทุนเองและแฟรนไชส์รวมทั้งสิ้น 2,389 สาขา 

 

ปี 2565 น่าจะฟื้นตัวในทุกภาคส่วน

ปี 2565 ชัยพัฒน์มองว่า ภาพรวมของธุรกิจน่าจะฟื้นตัวในทุกส่วน โดยธุรกิจโรงแรมในยุโรปจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซันในช่วงไตรมาส 2-3 ขณะที่มัลดีฟส์ได้รับอานิสงส์เต็มๆ จากการให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศแบบไม่กักตัว อัตราเข้าพักในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2565 อยู่ที่ 70% แล้ว ซึ่งตัวเลขดังกล่าวยังไม่มีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาด้วยซ้ำ 

 

ธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยช่วงที่ยังมีเฉพาะนักท่องเที่ยวไทยมีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 20-30% แต่หลังจากเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตัวเลขได้ขยับเพิ่มเป็นมากกว่า 30% ขณะที่รายได้ต่อห้องก็ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน 

 

โดยปีนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประเมินว่ารายได้จากตลาดต่างประเทศ 6.3 แสนล้านบาท จากนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2564 ที่ประเมินว่าจะมีรายได้รวมจากการท่องเที่ยวราว 6 แสนล้านบาท จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 3.5-4 แสนคน

 

ธุรกิจร้านอาหารคาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาได้อานิสงส์จากการปรับตัวไปสู่ธุรกิจเดลิเวอรี โดยธุรกิจทั้งไทยและจีนได้ทยอยดีขึ้นตามลำดับ 

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ธุรกิจร้านอาหารในปี 2565 น่าจะกลับมาฟื้นตัว หลังจากที่ผู้บริโภคกลับไปใช้บริการภายในร้านอาหาร โดยเฉพาะในห้างสรรพสินค้าและแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงการที่ผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารกลับมาทำตลาดมากขึ้น

 

อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการร้านอาหารยังคงต้องดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง เพื่อลดผลกระทบจากทั้งปัจจัยท้าทายในธุรกิจ อาทิ ต้นทุนทางธุรกิจที่ยังทรงตัวสูง ทั้งราคาวัตถุดิบ ค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค ค่าเช่าพื้นที่ เป็นต้น รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างร้านอาหารในเกือบทุกประเภทและระดับราคา

 

ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ในปี 2565 ธุรกิจร้านอาหารจะมีมูลค่ารวมทั้งปีประมาณ 3.78-3.96 แสนล้านบาท หรือพลิกกลับมาขยายตัว 5.0-9.9% (YoY) และเป็นการกลับมาฟื้นตัวครั้งแรกในรอบสองปี

 

ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT

 

ไม่กังวลสงครามรัสเซีย

ในส่วนของงบลงทุนปีที่ผ่านมา MINT หั่นงบ 50% คงไว้เฉพาะการบำรุงรักษาและขยายธุรกิจร้านอาหาร ยังไม่มีการใช้งบก้อนใหญ่ ซึ่งในปีนี้ก็จะดำเนินการเหมือนปีที่ผ่านมา โดยจะหั่นงบลงทุนจากที่วางไว้ 30% เหลือราว 6.4 พันล้านบาท เน้นขยายธุรกิจผ่านการรับจ้างบริหารโรงแรมโดยเฉพาะในโซนตะวันออกกลางกับจีน และขยายร้านอาหารผ่านแฟรนไชส์

 

“แม้สภาพเศรษฐกิจจะยังไม่เอื้ออำนวย แต่เชื่อว่าผู้บริโภคบางส่วนยังมีกำลังซื้อ ทำเราเป็นหนึ่งในท็อปแบรนด์แม้ผู้บริโภคจะระวังตัวแค่ไหนแต่ยังใช้จ่ายกับแบรนด์ที่เชื่อใจ ดังนั้นเราจะไม่หยุดนิ่งในการทำให้แบรนด์เป็น Top of Mind อยู่เสมอ”

 

สำหรับสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่กำลังปะทุนั้น ในระยะสั้นชัยพัฒน์มองว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อ MINT มากนัก โดยลูกค้ารัสเซียคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2% ของผู้เข้าพักโรงแรมในไทย ขณะที่มัลดีฟส์อยู่ประมาณ 7-12% ส่วนระยะกลางและยาวยังต้องประเมินต่อไป แต่ MINT ก็จะมุ่งหาลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาทดแทนโดยเฉพาะในยุโรป อเมริกา และตะวันออก ซึ่งเป็นตลาดใหญ่

 

ส่วนผลกระทบจากเงินเฟ้อซึ่งทำให้ต้นทุนต่างๆ เพิ่มขึ้น MINT จะยังไม่ได้รับผลกระทบอย่างน้อยจนถึงไตรมาส 2 เพราะมีการทำสัญญาระยะยาวกับซัพพลายเออร์ทำให้ต้นทุนคงที่ แต่หากเงินเฟ้อยังมีอยู่ก็อาจจำเป็นต้องเพิ่มบางเมนู

 

เตรียมขายหุ้นกู 7 พันล้านบาท

ในวันที่ 21-23 มีนาคมนี้ MINT จะขายหุ้นกู้ ‘MINT e-Bond’ ครั้งที่ 1/2565 ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน รวม 3 ชุด ประกอบด้วย 

 

  1. หุ้นกู้ ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี 2 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.90-3.10% ต่อปี
  2. หุ้นกู้ ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.50-3.70% ต่อปี
  3. หุ้นกู้ดิจิทัล ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.20-3.40% ต่อปี 

 

กำหนดชำระดอกเบี้ยทุก 6 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ทั้ง 3 ชุด โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ ‘A’ จากบริษัท Tris Rating

 

การเสนอขายหุ้นกู้ชุดที่ 1-2 จะเสนอขายผ่านทางช่องทางต่างๆ ของสถาบันการเงินทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขาย ส่วนการเสนอขายหุ้นกู้ดิจิทัล ชุดที่ 3 จะเปิดจองซื้อผ่านวอลเล็ตซื้อขายหุ้นกู้บนแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เท่านั้น

 

แม้จะมีเงินสดในมือถึง 23,000 ล้านบาท และมีวงเงินกู้ยืมที่เตรียมไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการอย่างเพียงพอ แต่ชัยพัฒน์ได้ระบุว่า “การออกหุ้นกู้ชุดนี้จะมีมูลค่าราว 7 พันล้านบาท ซึ่งหลักๆ แล้วจะถูกนำไปใช้ชำระหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด ส่วนเงินสดที่มีในมือนั้นเราได้เตรียมไว้สำหรับธุรกิจหากเกิดสถานการณ์ต่างๆ เช่น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เราจะได้รับมือได้ทัน”

 

โบรกปรับประมาณการ

SCBS ได้ทำการปรับประมาณการผลประกอบการเพิ่มขึ้น 41% ในปี 2565 (ขาดทุนปกติลดลง) และ 14% ในปี 2566 เพื่อสะท้อนผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าคาด 

 

ส่วนผลประกอบการ 1Q65 มีแนวโน้มอ่อนตัวลง QoQ (แต่ดีขึ้น YoY) เพราะเป็นช่วง Low Season ของการท่องเที่ยวในยุโรป และผลกระทบจากการระบาดของโอมิครอน ขณะที่อัตราการเข้าพักของ NHH ฟื้นตัวขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากปรับตัวลดลงในเดือนมกราคม 2565 และเดือนธันวาคม 2564

 

ด้านเมย์แบงก์ประเมินว่าปี 2565 MINT จะมีกำไร 1.5 พันล้านบาท เทียบกับขาดทุน 1.2 พันล้านบาทในสมมติฐานก่อนหน้านี้ ซึ่งได้แรงหนุนจากการเติบโตที่ดีในธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร เพื่อให้สอดคล้องกับผู้บริหารจึงได้คาดว่ารายได้ต่อห้อง หรือ RevPar จะเติบโต 64% ในปีนี้ และยอดขายสาขาเดิมจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง 10%YoY ในปีนี้ (เทียบกับสมมติฐานก่อนหน้านี้ที่ 2%)

 

โดยคาดว่าอัตราการเข้าพักจะเพิ่มขึ้นเป็น 54% ในปี 2565 จาก 36% ในปี 2564 ทั้งนี้ จากความต้องการที่ตึงตัวมากขึ้นหลังโควิด ทำให้คาดว่าราคาห้องพักเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น 2% ในปีนี้ ส่งผลให้ RevPar เพิ่มขึ้น 66%YoY พร้อมประเมินว่า RevPar จะเพิ่มขึ้นอีก 36% ในปี 2566 และ 9% ในปี 2567 เนื่องจากธุรกิจโรงแรมเข้าสู่ภาวะปกติหลังโควิดคลี่คลาย

 

ขณะที่ธุรกิจร้านอาหารคาดว่าการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) จะอยู่ที่ 10% ในปี 2565 เพิ่มขึ้นจากการติดลบ 5.4% ในปี 2564 โดยมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวทั้งในประเทศไทย จีน และออสเตรเลีย ซึ่งจะทำให้ยอดขายในธุรกิจร้านอาหารสูงกว่าช่วงก่อนโควิดถึง 3% ที่ประมาณ 2.34 หมื่นล้านบาท

 

บทความที่เกี่ยวข้อง:

 

ภาพ: Anantara New York Palace Budapest Hotel

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising