ใครๆ ก็พูดถึงไวน์ แถมเรายังเคยได้ยินกันอีกว่าดื่มไวน์วันละแก้วช่วยให้เลือดไหวเวียนได้ดี ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ แถม BBC ยังบอกอีกว่าให้ผลดีกับร่างกายมากกว่าเพื่อนจอมซ่าเช่นเบียร์ แต่หากคุณไม่ใช่สายไวน์ แต่เริ่มอยากรู้อยากจิบกับเขาบ้าง (หรือแม้ว่าอยากจะประดับความรู้เอาไว้เพื่อให้คุยกับคนอื่นๆ รู้เรื่องบ้างก็ตามเถอะ)
THE STANDARD ขอเสนอวิธีจิบไวน์ฉบับ 101 สำหรับมือใหม่หัดจิบให้เข้าใจกันง่ายๆ ด้วยตัว S ทั้งสี่ ถ้าอยากรู้ อยากเริ่มคุยภาษาไวน์ได้เป็น ก็ไปลุยกันเลย!
แต่ก่อนอื่น… อะไรคือไวน์?
ราชบัณฑิตยสภาบัญญัติว่า ‘ไวน์’ (คำนาม) คือเหล้าองุ่น ในขณะที่พจนานุกรมออกซ์ฟอร์ด (Oxford Dictionaries) บัญญัติเอาไว้ว่า ‘An alcoholic drink made from fermented grape juice.’ หมายถึง ‘เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เกิดจากการหมักน้ำองุ่น’
Photo: Olena Yakobchuk/ShutterStock
ดูก่อน
สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อเห็นไวน์ที่เสิร์ฟในแก้วไม่ใช่เขย่า แต่เป็นการ ‘ดู’ (See) ใช่แล้ว… แค่ดูนี่ล่ะ หยิบก้านแก้วไวน์ (หรือขาแก้วนั่นล่ะ) ขึ้นมา แล้วทำการชม ลองพิจารณาดูว่าไวน์ขาวที่เห็นนั้น เป็นสีเหลือง สีทอง สีส้ม หรือสีอำพัน หรือมีความขุ่นมากน้อยเพียงใด สำหรับไวน์แดง ลองสังเกตว่ามีความเจือจาง สีใสมากหรือน้อย หรือมีความเข้ม-ขุ่นแค่ไหน วิธีการนี้สามารถบ่งบอกเบื้องต้นได้ว่าไวน์ที่อยู่ตรงหน้ามีลักษณะรสสัมผัสเข้มข้นมากน้อยเพียงใด
ซึ่งรสสัมผัสดังกล่าวเรียกว่า ‘บอดี้’ (Body) และอาจเป็นได้ว่าไวน์ที่มีความใสกว่านั้นมีบอดี้ที่เบา (Light) หากไม่ใสมากนักอาจเป็นรสสัมผัสแบบปานกลาง (Medium) หรือหากเข้ม ทึบ มีสิทธิ์ว่าไวน์นั้นมีบอดี้ที่เต็ม (Full) แต่รสชาติจะเบา กลางหรือเข้มข้นไหม นั่นเป็นเรื่องของขั้นตอนต่อๆ ไป
Photo: hxdbzxy/ShutterStock
แกว่งสิ รออะไร
มาถึงช่วงเวลาที่หลายคนรอคอย หยิบแก้วขึ้นมาแล้วแกว่ง (Swirl) กันเลย นักแกว่งมือใหม่โปรดระวัง อย่าแกว่งเต็มเหนี่ยวจนแจกจ่ายไปรอบโต๊ะ การแกว่งนี้อาศัยจับก้านไวน์แล้วค่อยๆ หมุนเบาๆ ไปรอบๆ แก้ว ปล่อยให้กลิ่นค่อยๆ กระจายตัวออกมา จากนั้นสังเกตสีของไวน์ที่สะท้อนไปตามแสง และดู ‘ขา’ (Leg) นั่นคือน้ำไวน์ที่ค่อยๆ ไหลลงมาทีละน้อยรอบๆ แก้ว ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร ไหลลื่นอย่างไม่ทิ้งร่องรอยบนขอบแก้วราวกับน้ำเปล่า (ไม่เชื่อลองได้) หรือหนืดติดแก้วแบบค่อยๆ ไหลกลับลงจากขอบแก้วช้าๆ ซึ่งการดูขาแก้วนั้นคือวิธีที่นักชิมไวน์ใช้ดูปริมาณแอลกอฮอล์ และน้ำตาลที่อยู่ในน้ำไวน์นั่นเอง อาทิ ไวน์ที่ดื่มกับขนมหวานมักมีปริมาณน้ำตาลสูงกว่าไวน์ชนิดอื่น เป็นต้น
Photo: Olena Yakobchuk/ShutterStock
ลองดมดูสิเออ
การดม (Sniff) บ่งบอกถึงความเข้มข้นของเนื้อไวน์ว่าจางหรือเข้มข้นมากน้อยขนาดไหน ควรดมจากแก้วไวน์เพราะออกแบบมาเพื่อทำให้กลิ่นของไวน์ชัดเจนขึ้น พิจารณาว่ามีกลิ่นแปลก หรือผิดปกติหรือไม่ หากยกแก้วแล้วได้กลิ่นตั้งแต่ยังไม่เข้าใกล้ ไม่ว่าจะกลิ่นเครื่องเทศ สมุนไพร ฯลฯ นั่นแปลว่าไวน์นั้นน่าจะมีความเข้มข้น จนทำให้ได้กลิ่นชัดเจน (Pronounced) และหากดมเท่าไหร่ก็ไม่ได้กลิ่น (และคุณไม่ได้เป็นหวัด) ขนาดใกล้จนแทบจะใช้จมูกดื่มแทนแล้วล่ะก็ เป็นไปได้ว่าไวน์ในแก้วนั้นมีความเข้มข้นต่ำ (Light) ซึ่งสื่อถึงตัวบอดี้ของไวน์ที่กล่าวข้างต้นด้วยนั่นเอง นอกเหนือจากบอกความเข้มข้น กลิ่นยังสื่ออีกด้วยว่าไวน์นี้มีผลไม้ประเภทใดบ้าง อาทิ ผลไม้ยืนต้น หรือผลไม้ตระกูลส้ม
Photo: Olena Yakobchuk/ShutterStock
จิบกันเถิด
ลองกันมาสาม S มาถึงการจิบ (Sip) ซึ่งเป็น S ที่สี่สักที ว่าแล้วก็กระดกรับรสน้ำไวน์ทีละนิด รับรู้ว่ามีรสหวาน (Sweetness) น้อย กลาง หรือมาก และมีความฝาดความเฝื่อนลิ้น (Tannin) อย่างไร ไปจนถึงตัวบอดี้ (กลับมาอีกแล้ว) ว่ามีความเข้มข้นของน้ำไวน์ระดับไหน เป็นไปตามที่ได้ดมหรือไม่ นั่นคือ จางๆ กลางๆ หรือ จัดเต็ม ที่สำคัญคือรสชาติ ถ้าลิ้นยังสามารถรับรสที่ได้จากไวน์ในปากหลังจากจิบไปเกินห้าวินาที นั่นอาจแปลว่าไวน์นั้นมีรสชาติที่ยาวนาน (Long finish) และมีรสที่สั้น (Short finish) หากรสนั้นคงอยู่ไม่นานเกิน 3 วินาที ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงคุณภาพของไวน์นั้นๆ ได้
จบคลาสเริ่มจิบไวน์แรกแบบสวยๆ ว่าแล้วรินไวน์ใส่แก้วฉลองกันเสียหน่อย เอ้า…เชียร์ส!
อ้างอิง:
- www.bbc.com/future/story/20151026-is-beer-better-or-worse-for-you-than-wine
- vinepair.com/wine-101/swirl-wine
- winefolly.com/tutorial/wine-legs
- ควรจับก้านแก้วไวน์แทนการจับแก้วโดยตรง เพื่อเลี่ยงอุณหภูมิความร้อนจากมือไปสู่ตัวไวน์ เพราะส่งผลต่อรสชาติของไวน์ที่จะอร่อยขึ้นเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่พอเหมาะ
- การแกว่งไวน์ให้น้ำไวน์สัมผัสกับอากาศช่วยเผยกลิ่นหอมอโรมาออกมายิ่งขึ้น