จิบดริงก์โปรดแล้วปล่อยใจไปกับดนตรีและเสียงกลองที่ Rimshot

แค่เห็นคำว่า Rimshot ใครที่เป็นสายดนตรีหรือตีกลองก็น่าจะคุ้นหูกับศัพท์คำนี้ ที่หมายถึงเทคนิคการตีกลองสแนร์ให้โดนทั้งขอบกลองและหน้ากลองในเวลาเดียวกัน เพื่อให้เสียงที่ออกมาหนักแน่นขึ้น ฟังแล้วได้อารมณ์ร่วมยิ่งขึ้นกว่าเดิม แล้วถ้าการที่บาร์หนึ่งจะตั้งชื่อด้วยคำคำนี้ ก็ให้มั่นใจได้เลยว่าต้องมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องกลองหรือดนตรีอย่างแน่นอน

The Vibe

ผู้อยู่เบื้องหลัง Rimshot ไม่ใช่ใครอื่นไกลนอกจากทีมงาน Sugarray เพราะฉะนั้นเชื่อมือเรื่องบรรยากาศและดริงก์ได้เลย บาร์แห่งนี้ตั้งอยู่เยื้องกับ Valia Hotel และไม่ใช่บาร์ลับแต่อย่างใด เพราะมีสตาฟฟ์หน้าร้านและป้ายบอกชัดเจน และเมื่อผลักประตูเข้าไปด้านใน ความพลุกพล่านจอแจและเสียงรถติดด้านนอกก็พลันถูกกลบด้วยเสียงเพลงและบทสนทนาของผู้มาเยือนที่ทยอยกันมาร้านตั้งแต่หัวค่ำ

ภายในบาร์ค่อนข้างโอ่โถง ออกแบบและตกแต่งสไตล์ Bauhaus ตามคอนเซปต์ ‘Function over form’ เน้นพื้นที่ใช้สอย ตัดทอนรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกไป มีที่นั่งหลายมุมให้จับจอง ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะยาวกลางร้าน หรือโซฟายาวพร้อมโต๊ะเล็กบริเวณฟากซ้ายและขวา เว้นพื้นที่ตรงกลางให้เป็นเวทีเล็กสำหรับศิลปิน

จุดเด่นเห็นจะเป็นผนังที่เต็มไปด้วยไม้กลองเพื่อให้เข้ากับชื่อร้าน และมุมที่นั่งหน้าบาร์สำหรับสายจิบ ด้วยความที่โต๊ะบาร์กว้างขวาง การนั่งหน้าเคาน์เตอร์จึงไม่รู้สึกแออัดจนเกินไป แถมยังมีชั้นวางแอลกอฮอล์ที่เป็นจุดนำสายตา นั่งมองเพลินๆ ระหว่างรอบาร์เทนเดอร์ชงค็อกเทล

The Taste

ค็อกเทลที่นี่มีสองหมวด House Drinks เปรียบเหมือนซิกเนเจอร์เมนูที่ได้แรงบันดาลใจมาจากค่ายเพลง และ Artist Favorite ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเครื่องดื่มแก้วโปรดของบรรดาศิลปินในวงการดนตรี

Blue Note (380 บาท) ค่ายเพลงนี้มีชื่อเสียงด้าน American Jazz แล้วอะไรจะดีไปกว่าการฟังแจ๊สพร้อมจิบวิสกี้ล่ะ ค็อกเทลแก้วนี้จึงขอทวิสต์ Old-fashioned โดยใช้เบอร์เบินอินฟิวส์กับหญ้าฝรั่น และเติมความหวานหอมอ่อนๆ จากคาราเมลไหม้ จากนั้นท็อปด้วยรูทเบียร์เล็กน้อย กลายมาเป็นวิสกี้ค็อกเทลเวอร์ชันจิบง่ายแต่ยังคงคาแรกเตอร์ Old-fashioned ได้อย่างครบถ้วน

Columbia (380 บาท) หนึ่งในค่ายเพลงที่เก่าแก่ที่สุดค่ายหนึ่งของอเมริกา ก่อตั้งเมื่อปี 1889 และมีศิลปินหลากหลายแนวดนตรีอยู่ในสังกัดนี้ จึงตีความค็อกเทลให้เป็นการรวมกันของส่วนผสมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นมะม่วง น้ำมะพร้าว เฮเซลนัท และดอกอัญชัน ภายใต้เบสเหล้ารัม แก้วนี้สีใสและมีน้ำอัญชันแยกชั้นด้านบน ดื่มง่ายไม่แพ้กัน

ค่ายเพลงที่มีศิลปินดังหลายคน ไม่ว่าจะเป็น Ed Sheeran, Bruno Mars, Coldplay, Lil Uzi Vert หรือ Cardi B หากเปรียบเป็นรสชาติก็คงต้อง Savory เพราะมีหลากหลายแนวเพลงและแต่ละเพลงก็ติดหูทั้งนั้น ไม่ต่างอะไรกับรสอร่อยอูมามิของ Atlantic (380 บาท) ที่เบสด้วยรัมและน้ำมะเขือเทศ เพิ่มรสชาติด้วยสับปะรด ซิตรัส และเกลือ ตามด้วยหยดน้ำมันงาพริก

Motown (380 บาท) เบื้องหลังแก้วนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่าการเล่นคำพ้อง จึงเกิดเป็นค็อกเทลที่เบสด้วยจินกับน้ำแตงโม ท็อปด้วยฮันนีโซดา ดื่มง่าย สดชื่น จะจิบเป็นแก้วแรกหรือแก้วสุดท้ายก่อนกลับก็ดีไม่แพ้กัน

Epic (380 บาท) ค็อกเทลนี้หยิบยกกลิ่นอายญี่ปุ่นเข้ามาผสมด้วย เพราะค่ายเพลงนี้เป็นของ Sony Music Entertainment อันเป็นบริษัทในเครือ Sony อีกที ดริงก์นี้ส่วนผสมของเก็นไมฉะจินกับโซดาที่อินฟิวส์กับองุ่นและใบชา ระดับความง่ายในการจิบเท่ากับ Motown

ข้ามไปที่อีกหมวด เราแนะนำ Ray Charles (380 บาท) ดริงก์นี้ถอดสูตรมาจากเจ้าตัว Ray Charles เองที่ชื่นชอบการดื่ม Espresso Martini โดยเป็นส่วนผสมระหว่างจิน เอสเพรสโซช็อต และน้ำตาลทรายแดง ถ้าอยากรู้ว่ารสชาติค็อกเทลที่ศิลปินระดับตำนานชื่นชอบนั้นเป็นอย่างไร อย่าลืมสั่งมาลอง

Good For

อีกหนึ่งแหล่งแฮงเอาต์บรรยากาศดี มีทั้งดีเจและไวนิล ไม่ว่าจะเป็นคอดนตรีหรือสายดื่ม ที่นี่เป็นจุดร่วมที่เชื่อมทั้งสองโลกเข้าด้วยกัน ส่วนใครที่อยากได้บรรยากาศสนุกถึงใจต้องแวะมาหลังสี่ทุ่ม