Yum China ซึ่งบริหารเชนร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่รู้จักกันดีอย่าง KFC, Pizza Hut และ Taco Bell ในแดนมังกร ได้ออกมารายงานผลประกอบการไตรมาส 4 สิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2019 ยอดขายในสาขาเดิมเพิ่มขึ้น 2% มากกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ที่ 1.6%
มีรายได้รวม 2.03 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 6.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อันเป็นผลมาจากความแข็งแกร่งของ KFC ที่มีกำไรสุทธิ 98 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3 พันล้านบาท
ขณะที่ Loyalty Programs ของ KFC และ Pizza Hut เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านการสั่งซื้อผ่านช่องทางดิจิทัล ซึ่งรวมถึงการสั่งซื้อผ่านสมาร์ทโฟนและคีออสคิดเป็น 61% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 17% โดย “ผลประกอบการในไตรมาส 4 ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดของปี 2019” โจ วัต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Yum China กล่าว
ทว่าปี 2020 อาจจะไม่ใช่ปีที่ง่ายสำหรับ Yum China เพราะนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ปิดร้านไปแล้ว 30% และยังไม่รู้ว่าจะสามารถกลับมาเปิดได้เมื่อไร ในขณะที่ร้านที่เปิดอยู่ก็ไม่ได้เปิดเต็มเวลา ส่งผลให้ยอดขายลดลง 40-50% สถานการณ์เช่นนี้อาจทำให้ “มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานในไตรมาสแรกและต่อเนื่องไปทั้งปี รวมไปถึงอาจส่งผลต่อกระแสเงินสดด้วย”
ไม่กี่วันก่อน Yum China รับมือโรคระบาดด้วยการเปิดตัวการส่งสินค้า ‘แบบไม่สัมผัสตัว’ ของ KFC และ Pizza Hut โดยจะมีการยืนยันตำแหน่งที่ส่ง พนักงานจะรอจนกว่าลูกค้าจะมา หลังจากนั้นจะเปิดกระเป๋าซึ่งเก็บอาหาร พนักงานจะถอยห่างไปประมาณ 3 เมตรให้ลูกค้าหยิบอาหารเอง ทุกครั้งพนักงานที่จัดส่งจะต้องสวมหน้ากาก ทำความสะอาดมือและกล่องส่งอาหารทุกครั้งหลังส่งอาหาร
ความท้าทายยังไม่หมดเท่านั้น ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นและอัตราเงินเฟ้อจะเป็นแรงกดดันสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก นอกจากนี้ยังต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากเชนยักษ์ใหญ่ต่างชาติ เช่น Burger King, Tim Hortons และ Starbucks ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ Pizza Hut ต้องเร่งปรับตัวทั้งเมนูและช่องทางส่งสินค้าเพื่อไม่ให้ถูกชิงยอดขายไป
“บริษัทจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป และแม้จะมีความท้าทายหลายข้อ โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา แต่เรายังมั่นใจศักยภาพในระยะยาวของจีน”
ปีนี้ Yum China วางแผนเปิดสาขาทั้งหมด 800-850 สาขา คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุน 500-550 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.55-1.70 หมื่นล้านบาท โดยปี 2019 มีการปิดร้านใหม่ทั้งสิ้น 1,006 สาขา และใช้งบปรับปรุงร้านเดิมอีก 1,000 สาขา
Yum China แยกตัวออกจาก Yum Brands Inc. บริษัทแม่อย่างเป็นทางการในปี 2016 และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก โดยเป็นผู้ได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการบริหารแบรนด์ KFC, Pizza Hut และ Taco Bell ในประเทศจีนที่มีร้านอาหารกว่า 8,900 แห่ง ครอบคลุม 1,300 เมือง
ตามรายงานของ Bloomberg ระบุว่า Yum China กำลังพูดคุยกับ China International Capital Corp. และ Goldman Sachs Group Inc. เพื่อเตรียมนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-02-05/yum-china-falls-after-pizza-hut-disappoints-virus-to-curb-sales
- https://www.nasdaq.com/articles/yum-china-stock-is-falling-because-the-coronavirus-could-materially-dent-2020-results-2020
- https://www.marketwatch.com/story/yum-china-closes-30-of-stores-due-to-coronavirus-2020-02-05
- https://www.businessinsider.com/kfc-pizza-hut-contactless-delivery-services-china-2020-2
- https://www.reuters.com/article/us-yum-china-hldg-results/yum-china-warns-coronavirus-outbreak-to-hit-2020-sales-profit-idUSKBN1ZZ31D