Johnson & Johnson เผยประสิทธิภาพวัคซีนเข็มกระตุ้นในสหรัฐฯ สูงถึง 94% หลังฉีดห่างเข็มแรก 2 เดือน ภูมิคุ้มกันเพิ่ม 4-6 เท่า

วานนี้ (21 กันยายน) ผู้ผลิตและพัฒนาวัคซีน Johnson & Johnson เผยถึงประสิทธิภาพของวัคซีนเข็มกระตุ้น (Booster Shot) ที่ฉีดให้ในกลุ่มตัวอย่างในสหรัฐอเมริกาที่สูงถึง 94% หลังให้ห่างจากวัคซีนเข็มแรก 2 เดือน ภูมิคุ้มกันเพิ่ม 4-6 เท่า เมื่อเทียบกับการฉีดวัคซีนเพียงเข็มเดียว

Johnson & Johnson ยังระบุว่า การฉีดวัคซีนห่างจากเข็มแรก 6 เดือน จะยิ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือเชื้อโควิด ภูมิคุ้มกันอาจเพิ่มสูงขึ้นถึง 12 เท่า หลังเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นไปแล้ว 4 สัปดาห์ โดยไม่ได้เจาะจงช่วงอายุ

โดยข้อมูลใหม่นี้จะเป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลที่ Johnson & Johnson จะใช้ยื่นคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) เพื่อให้พิจารณาอนุมัติการใช้วัคซีนเข็มกระตุ้นกับพลเมืองอเมริกันราว 14.8 ล้านรายที่เข้ารับวัคซีน Johnson & Johnson เข็มเดียวไปแล้วก่อนหน้านี้ ขณะที่ทางการสหรัฐฯ ระบุว่า จำเป็นต้องได้รับข้อมูลเพิ่มเติมก่อนที่จะพิจารณาการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจาก Johnson & Johnson

เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผลักดันมาตรการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับคนที่เข้ารับการฉีดวัคซีน Pfizer และ Moderna ครบโดสแล้ว โดย FDA มีมติไม่สนับสนุนการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับพลเมืองทั่วไป แต่สนับสนุนให้ฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป และเป็นบุคคลในกลุ่มเสี่ยง

ขณะที่การทดสอบให้วัคซีนเข็มกระตุ้นจาก Johnson & Johnson หลังฉีดเข็มแรกไป 2 เดือน ในภาพรวมทั่วโลก มีประสิทธิภาพ 75% ในการป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการ และมีประสิทธิภาพ 100% ป้องกันการมีอาการรุนแรงหรือภาวะโคม่าภายหลังการติดเชื้อ ในขณะที่วัคซีน Johnson & Johnson เข็มเดียว มีประสิทธิภาพ 81% ลดโอกาสในการเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล

บทความที่เกี่ยวข้อง: