×

เรื่องเล่าจากชิลี: เมื่อการเดินเขาคือความงดงามของชีวิต

11.08.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins Read
  • พาทาโกเนียทั้งสองฝั่งนั้นหอมหวานไม่แพ้กัน บางคนสำรวจฝั่งชิลีก่อนแล้วข้ามมาอาร์เจนตินา และอีกไม่น้อยที่เลือกสำรวจฝั่งอาร์เจนตินาก่อนแล้วค่อยอพยพตัวเองไปฝั่งชิลี
  • นักเดินเขาคนอื่นไม่รู้คิดอย่างไร ส่วนฉันคงเป็นช่วงเวลาที่ได้อยู่และสนทนากับตัวเอง ตัดขาดจากโลกไซเบอร์ที่ถาโถมเข้าหาชีวิตอย่างรุนแรงเหลือเกิน ทุกก้าวคือสติ ได้ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติที่โอบเราไว้อย่างหลวมๆ ความสวยงามที่อยู่รอบตัวเป็นแค่ของสมนาคุณที่ธรรมชาติบรรณาการให้

     เหมือนเรียนไม่จบหลักสูตรยังไงไม่รู้ มันค้างๆ คาๆ คล้ายทำอะไรไม่สุด

     เมื่อ 5-6 ปีก่อนฉันมาเทรกกิ้งที่พาทาโกเนีย (Patagonia) ฝั่งอาร์เจนตินาที่เอล ชาลเท็น (El Chalten) แต่ด้วยข้อจำกัดของชีวิตมนุษย์เงินเดือนตอนนั้น เลยมีจำนวนวันในการทัศนศึกษาโลกอันจำกัดจำเขี่ย แต่พอปลดโซ่ตรวนที่พันธนาการชีวิตนักเดินทางเอาไว้ มาอาร์เจนตินาเที่ยวนี้เลยวางแผนหอบผ้าผ่อนไปเทรกกิ้งที่พาทาโกเนียฝั่งชิลี จะได้เรียบร้อยโรงเรียนพาทาโกเนียซะที

 

 

     ตัวยังแกว่งอยู่ที่เมืองเอล คาลาฟาเต (El Calafate)ในฝั่งอาร์เจนตินา ตระเตรียมจับจองตั๋วรถและวางแผนการเดินทางทุกอย่างเพื่อข้ามพรมแดนไปหาพาทาโกเนียฝั่งชิลี

 

 

     มาพูดถึงที่ราบสูงพาทาโกเนียกันก่อน นี่คือดินแดนที่มีความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติอยู่ใต้สุดของแผนที่โลก มีทั้งผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ ทะเลสาบ และธารน้ำแข็งซ่อนตัวอยู่ในอุทยานแห่งชาติราว 5 แห่ง พาทาโกเนียกินพื้นที่มหาศาลครอบคลุมทั้งฝั่งชิลีและอาร์เจนตินา สนิทชิดเชื้อกับเทือกเขาแอนดีสเป็นอย่างดี และคบหาทั้งมหาสมุทรแปซิฟิกและแอตแลนติก

     อุทยานแห่งชาติตอร์เรส เดล ไปเน (Torres del Paine National Park) ในฝั่งชิลี คือจุดที่ถูกฉันปักหมุดเอาไว้ การข้ามพรมแดนจากอาร์เจนตินาไปยังชิลีมันไม่ยากนักหรอก เพราะมีนักเดินทางผู้รักการผจญภัยทำแบบนี้อยู่ตลอด 365 วัน

 

 

     ในรุ่งเช้าที่เอล คาลาฟาเต คงยังสะลึมสะลือ ฉันแบกทั้งกระเป๋า ทั้งความงัวเงีย ไปยืนตากหนาวรอรถบัสที่วิ่งข้ามประเทศ ผู้โดยสารทั้งคันคือนักท่องโลกที่มาจากทั่วทุกมุมโลก แต่ประเด็นคือคนเต็มคัน ทำให้รู้เลยว่าพาทาโกเนียทั้งสองฝั่งนั้นหอมหวานไม่แพ้กัน บางคนสำรวจฝั่งชิลีก่อนแล้วข้ามมาอาร์เจนตินา และอีกไม่น้อยที่เลือกสำรวจฝั่งอาร์เจนตินาก่อนแล้วค่อยอพยพตัวเองไปฝั่งชิลี ฉันกับคนในรถบัสนี้อยู่ในพวกหลัง

     จังหวะที่ข้ามพรมแดนฝั่งอาร์เจนตินานั่นไม่เท่าไร แต่ฝั่งชิลีนี่สิเข้มมาก ให้ทุกคนขนกระเป๋าลงไปสแกนตรวจหาสิ่งไม่พึงประสงค์ทุกอย่าง และเน้นไปที่พวกอาหารสด ถ้ามีให้รีบเคลียร์ออกให้หมด เพราะชิลีซีเรียสเรื่องการนำอาหารเข้าประเทศมาก

 

 

     ราวๆ 10 โมงเช้าโดยประมาณ เราก็ข้ามพรมแดนมาโลดแล่นในพาทาโกเนียฝั่งชิลี รถวิ่งมาไม่เท่าไร โชเฟอร์ก็แตะเบรกเพื่อชะลอความเร็วและจอดแน่นิ่งในที่สุด

     ข้างหน้ารถติดพอสมควร ชะเง้อดูแล้วไม่มีตำรวจ สน. พาทาโกเนีย มาดักจับสิ่งไม่ชอบมาพากลหรือตรวจจับความเร็ว ไม่มีสัญญาณไฟหรือสี่แยก ไม่มีรถเสีย แต่ต้นเหตุที่ทำให้รถเคลื่อนช้าเป็นเพราะมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างเคลื่อนเกะกะอยู่บนท้องถนน

 

 

     โชเฟอร์ตะเบ็งเสียงบอกว่าข้างหน้ามีฝูงกัวนาโคกำลังข้ามถนนอยู่ (ตัวอะไรนะ?!) ขอให้ผู้โดยสารใจเย็นหน่อย เขาว่าฝั่งชิลีนี่จะมีกัวนาโคเยอะมาก ฟังเขาพูดเลยชะเง้อคอมอง ถึงได้รู้ว่ากัวนาโคที่ว่านี้หน้าตาละม้ายคล้ายไปทางอัลปากาและพวกลามะนั่นเอง

     นอกจากจะเจอกัวนาโคหากินตามเทือกเขาสูงในชิลีแล้ว ใครไปแถวเปรู โบลิเวีย เอกวาดอร์ โคลัมเบีย และอาร์เจนตินา ก็มีโอกาสเจอกัวนาโคได้เหมือนกัน ตามสถิติแล้วในแถบลาตินอเมริกามีกัวนาโคราวๆ 5 แสนตัว เขาว่าจากนี้ไป ถ้าวนเวียนอยู่ในอุทยานจะเจออีกเรื่อยๆ สิ้นคำเขาดูเหมือนความตื่นเต้นค่อยๆ คลายตัวลง พร้อมๆ กับรถที่ค่อยๆ ขยับเคลื่อนตัวไปข้างหน้า

เมื่อมาถึงที่พักบริเวณทะเลสาบเพเว ฉันก็พบว่าแทบไม่อยากขยับตัวไปไหนอีกแล้ว เพราะวิวที่กองอยู่ตรงหน้าเหมือนหญิงสาวเซ็กซี่ที่ยวนตาจนไม่อยากจากเธอไปไหน

 

     ที่ปากทางเข้าอุทยานตอร์เรส เดล ไปเน อยู่ที่ทะเลสาบอมาร์กา (Laguna Amarga) มีนักเดินเขานอนแผ่หลาอยู่กลางสนามหญ้า บ้างกำลังเดินตากแดดลงมาจากเขา บ้างกำลังตีตั๋วเข้าอุทยาน ดูเหมือนกิจกรรมทุกอย่างเริ่มต้นและจบลงตรงนี้

     ก่อนจะมุ่งหน้าไปหาเรือนพักที่จับจองไว้แถวทะเลสาบเพเว (Laguna Pehoe) เลยแวะเที่ยวตามเบี้ยใบ้รายทางไปก่อน มีทั้งน้ำตกซัลโต แกรนด์ (Salto Grande) และเส้นทางเทรกกิ้งแบบเบาๆ เป็นการเรียกน้ำย่อย

     และเมื่อมาถึงที่พักบริเวณทะเลสาบเพเว ฉันก็พบว่าแทบไม่อยากขยับตัวไปไหนอีกแล้ว เพราะวิวที่กองอยู่ตรงหน้าเหมือนหญิงสาวเซ็กซี่ที่ยวนตาจนไม่อยากจากเธอไปไหน

 

 

     วิวของภูเขาคูแอร์นอส เดล ไปเน (Cuernos del Paine Mountain) อันทรงพลังทอดตัวอยู่ข้างหน้า เมื่ออยากมองภูเขาลูกนี้ให้เต็มตาจึงเดินไต่เขาเทรกกิ้งขึ้นไปบนจุดชมวิวสูงสุดตามคำแนะนำของสตาฟฟ์ที่เรือนพัก เป็นเส้นทางที่เดินขึ้นแล้วไม่อยากนึกถึงตอนเดินลง เพราะทั้งชันและลื่นมาก แต่ชีวิตของนักเดินเขา ลองได้เดินหน้าแล้วยากที่จะถอยหลัง เดินลุยป่าฝ่าเนินไปจนถึงจุดสูงสุดถึงได้พบว่าของสมนาคุณที่ได้รับนั้นเลอค่าเหลือเกิน

 

 

     เพราะภูเขาคือที่สิงสถิตของความยิ่งใหญ่แข็งแกร่งเสมอ แต่เมื่อถูกแสงหวานๆลงห่ม ภูเขาอันแข็งแกร่งกลับกลายเป็นอ่อนโยน ภูเขาที่เคยทึมทะมึนสง่าผ่าเผย คล้ายยิ้มได้

     ถือว่าเป็นการซ้อมเทรกก็แล้วกัน เพราะฉันมาที่นี่ มีความตั้งใจจะมาเทรกกิ้งในพาทาโกเนียฝั่งนี้บ้าง แต่ครั้นจะให้ไปล่มหัวจมท้ายในเส้นทาง W-Trek อันโด่งดัง ก็ต้องใช้เวลาเทรก 4 วัน เรื่องระยะวันไม่เป็นปัญหาสำหรับฟรีแลนซ์ แต่ที่เป็นปัญหาคือการเทรกกิ้งที่นี่ไม่มีพอร์เตอร์และโรงเตี๊ยมข้างทางเหมือนเนปาล นักเดินเขาต้องแบกสัมภาระทุกอย่างเองหมดทั้งเต็นท์ ถุงนอน และอุปกรณ์กันหนาว เลยเลือกเฉพาะบางช่วงของเส้นทางนี้เท่านั้น

 

 

     แน่นอนว่าสำหรับคนมีเวลาไม่มากนัก แต่อยากเทรก โจทย์จะแคบเข้า ทุกคนจะใช้เวลาเดินแค่ 2 วัน 1 คืน ไปนอนในแคมป์ตรงเบสแคมป์ใกล้ๆ มิราดอร์ ตอร์เรส (Mirador Torres) ซึ่งเป็นไฮไลต์ของอุทยานตอร์เรส เดล ไปเน แต่บางวันที่ฟิตกว่านั้นอีกก็สามารถเดินจากตีนเขาขึ้นถึงมิราดอร์ ตอร์เรส ไป-กลับในวันเดียวได้เลย ซึ่งมีคนไม่ใช่น้อยที่เลือกทำแบบนั้น เพราะไม่อยากไปเบียดกันนอนเต็นท์ที่เบสแคมป์

     คนฟิตอย่างฉันเลือกอย่างหลังนี่แหละ นั่นหมายถึงว่าวันนี้ต้องเดินขึ้น-ลงเขาร่วม 20 กิโลฯ และระยะทางไปกลับราว 8 ชั่วโมงกว่า หรืออาจจะเลยเถิดไป 9 ชั่วโมง เพราะทางขาขึ้นจะค่อนข้างชันมาก

     ถ้าไม่ใช่สตรีสายเทรกกิ้งผู้ผ่านการเทรกบนหิมาลัยและคิลิมันจาโรมาคงถอดใจไปแล้ว แต่คนที่ผ่านสังเวียนอันแสนสาหัสเหล่านี้มาแล้ว การเดินในระยะแบบนี้ถือว่าอยู่ในระดับเบาบาง

เพราะภูเขาคือที่สิงสถิตของความยิ่งใหญ่แข็งแกร่งเสมอ แต่เมื่อถูกแสงหวานๆลงห่ม ภูเขาอันแข็งแกร่งกลับกลายเป็นอ่อนโยน ภูเขาที่เคยทึมทะมึนสง่าผ่าเผย คล้ายยิ้มได้

 

     เราเริ่มต้นกันตรงตีนเขาที่มีบ้านพัก ร้านอาหาร และทุกสิ่งที่อำนวยความสะดวกให้นักเดินเขา ไม่ต้องกลัวหลง เพราะระหว่างทางจะสวนทางกับนักเดินเขา มีทั้งพวกที่เดินขึ้นและเดินลง ทางช่วงแรกจะชันมาก ชันจนนักเดินเขาหลายคนตกอยู่ในอาการพักกะปริบกะปรอย รวมทั้งฉันด้วย 2 ชั่วโมงแรกของการเดินจึงค่อนข้างหนักหน่วงและร้อนมาก เพราะต้องเดินตากแดด

     แต่เมื่อถึงแคมป์แรกที่ชื่อริฟูจิโอ ชิเลียโน (Refugio Chileano) หลังจากนี้เป็นทางเดินในร่มเสียเยอะ แถมเป็นการเดินผ่านใบไม้เปลี่ยนสี ยิ่งทำให้การเดินสนุกและคลายความเหนื่อยไปได้เยอะ

 

 

     ชั่วโมงเศษๆ ถัดมาถึงได้มาอยู่ตรงเบสแคมป์ ที่นี่เขาตั้งเต็นท์นอนกันเพื่อรอขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นในรุ่งเช้า แต่ฉันยังมีภารกิจเดินไต่เขาต่อไปอีก ต้องใช้คำว่าไต่ เพราะจากเบสแคมป์ขึ้นไปหายอดทรี ทาวเวอร์ (Three Tower) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอุทยานแห่งชาติตอร์เรส เดล ไปเน เป็นเส้นทางสุดโหด ต้องค่อยๆ ก้าวและไต่ไปบนหินที่ก้าวไม่ดีอาจจะมีพลาดได้ แต่จนแล้วจนรอด ฉันก็พาตัวเองมาสบตากับยอดเขาแกรนิต 3 ยอดได้สำเร็จ

 

 

     ความสุขของนักเดินเขาอยู่ตรงไหน??? ฉันเจอคำถามนี้จากคนรอบตัวบ่อยมาก บางคนบอกเหนื่อยก็เหนื่อย เดินก็ไกล ไม่รู้จะเดินไปทำไม

     นักเดินเขาคนอื่นไม่รู้คิดอย่างไร ส่วนฉันคงเป็นช่วงเวลาที่ได้อยู่และสนทนากับตัวเอง ตัดขาดจากโลกไซเบอร์ที่ถาโถมเข้าหาชีวิตอย่างรุนแรงเหลือเกิน ทุกก้าวคือสติ ได้ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติที่โอบเราไว้อย่างหลวมๆ ความสวยงามที่อยู่รอบตัวเป็นแค่ของสมนาคุณที่ธรรมชาติบรรณาการให้

     แค่นี้คงเพียงพอแล้วกระมังที่ฉันจะกล้าพูดว่า การเดินเขาคือความงดงามของชีวิต

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising