บทที่ยี่สิบสี่
วันที่ 1
ข้าพเจ้าตัดสินออกจากถ้ำและเดินไปรอบๆ บริเวณแต่เช้าตรู่ โดยปล่อยให้ศรี อรพินโท และบุหลันได้อยู่กันตามลำพัง แม้ว่าข้าพเจ้าจะเป็นคนไร้คู่ แต่ข้าพเจ้าเข้าใจความรู้สึกของหนุ่มสาวได้ดี บุคคลทั้งสองผ่านเรื่องราวเลวร้ายมามาก โดยเฉพาะในช่วงหลายวันมานี้ พวกเขาคงมีหลายสิ่งที่ต้องปลอบประโลมกัน มาเม็ตนั้นกลับเข้าไปสืบข่าวคราวในเมือง ดังนั้นถ้าหากข้าพเจ้าออกจากถ้ำ ข้าพเจ้าย่อมได้รับอิสรภาพที่จะได้อยู่ตามลำพัง
ความปรารถนาที่จะได้อยู่ตามลำพังนั้นเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาสูงสุดในยามนี้ ไม่น่าเชื่อว่าในช่วงระยะเวลาไม่นานนักที่ข้าพเจ้าเดินทางมาถึง ชวา ปัตตาเวีย อาณานิคมดัตช์ แล้วแต่จะเรียก เรื่องราวจำนวนมากกลับเกิดขึ้นที่นี่ ข้าพเจ้าขบคิดถึงเรื่องราวต่างๆ บันทึกเรื่องทีละเรื่องลงในความทรงจำ ทั้งเรื่องราวที่เป็นคำถามที่อาจหาคำตอบได้ และเรื่องราวที่เป็นคำถามที่อาจหาคำตอบไม่ได้ บางเรื่องเป็นเรื่องราวของบุคคลที่อยู่ใกล้ตัว บางเรื่องเป็นเรื่องราวของบุคคลที่อยู่ไกลตัว บางเรื่องเป็นเรื่องของบุคคลที่ข้าพเจ้าปรารถนาจะพบหน้าทุกคืนวัน บางเรื่องเป็นเรื่องของบุคคลที่ข้าพเจ้าไม่ต้องการพานพบอีกเลยในชีวิตนี้
ข้าพเจ้ามาที่นี่ด้วยเรื่องของกิจการงานที่ข้าพเจ้ารับปากต่อกรมพระฯ อดีตบุคคลสำคัญแห่งสยามผู้พลัดพรากจากบ้านเกิด ผู้ละทิ้งแล้วซึ่งอำนาจ ผู้มีชีวิตอันเงียบสงบและเรียบง่ายเกินกว่าใครจะคาดเดาได้ถึง กิจการงานของกรมพระฯ เป็นไปในด้านอักษรศาสตร์ การแปลประวัติของใครคนหนึ่งเป็นภาษาเยอรมันไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงสำหรับข้าพเจ้า แต่นับจากการสนทนาในวงน้ำชาบ่ายนั้น ข้าพเจ้าหาได้มีโอกาสพบกับกรมพระฯ อีกเลย โชคชะตาได้พัดพาข้าพเจ้าห่างไกลจากกรมพระฯ ขึ้นทุกที ไม่นับถึงต้นฉบับของกรมพระฯ ที่ข้าพเจ้าทอดทิ้งไว้ที่บ้านพักดังทารกอนาถา สิ่งนี้เป็นหนึ่งในความทุกข์ใจของข้าพเจ้าอย่างยิ่ง ข้าพเจ้ามีลางสังหรณ์ว่างานชิ้นนี้เป็นงานที่มีความสำคัญ ไม่ใช่เพราะมันบันทึกเรื่องราวอีกแง่มุมของสยามที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใฝ่ใจในทางประวัติศาสตร์ของดินแดนแถบนี้ แต่ในแง่ที่ข้าพเจ้าสังหรณ์ใจว่ามันน่าจะเป็นงานนิพนธ์ชิ้นสุดท้ายของกรมพระฯ ในวงสนทนาครั้งสุดท้ายนั้น ข้าพเจ้าสังเกตพบว่ากรมพระฯ ทรงอยู่ในสภาวะที่ร่างกายทรุดโทรมลงจนเห็นได้ชัด แม้ว่าท่านจะไม่ได้เอ่ยมันออกมา ข้าพเจ้าก็เชื่อแก่ใจว่าท่านก็รู้องค์เองดีเป็นอย่างยิ่ง
แต่ฉะนั้นอะไรเล่าที่พรากข้าพเจ้าออกจากภารกิจที่ว่านั้น พรากข้าพเจ้าเสียจากกิจการงานที่มุ่งหมายไว้ ก็ด้วยการพบปะกับศรี อรพินโท บุรุษหนุ่มที่เพิ่งมีอาการทุเลาจากความบาดเจ็บในถ้ำแห่งนั้น เขาเป็นใครหรือ จากถ้อยคำของบุหลัน เขาเป็นเพื่อนในวัยเยาว์ของเธอ แต่นั่นเป็นความจริงหรือ เขาเป็นบุคคลดังกล่าวจริงกระนั้นหรือ ศรี อรพินโท กล่าวกับข้าพเจ้าในการพบกันครั้งแรกว่าเขาอาศัยอยู่ในโลกสองโลก โลกแห่งความเป็นจริงที่พวกเราทุกคนอาศัยและมีชีวิตอยู่และโลกแห่งวายัง อมฤต โลกแห่งแสงเงาที่ทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นไม่ต่างจากภาพเงาดำเคลื่อนไหวบนฉากสีขาว เงาสีดำนั้นมีอยู่จริงแน่แท้ แต่ก็ย่อมต้องประกอบด้วยแสงสว่างและวัตถุต้นกำเนิด แต่หากแม้กระทั่งวัตถุต้นกำเนิดก็ยังอาจไม่ใช่ของจริงเสียแล้ว สิ่งอื่นๆ ที่ติดตามมาจะเป็นเช่นไร
และอะไรกันเล่าคือวายัง อมฤต และอะไรกันเล่าคือโลกของวายัง อมฤต ข้าพเจ้าทราบเพียงว่ามันคือโลกแห่งนามธรรม เป็นนามธรรมแห่งอุดมการณ์ แต่มันคือโลกจริงๆ หรือมันคือสิ่งที่อุปโลกน์ขึ้นเป็นโลก หากมันเป็นโลกอีกโลกหนึ่งที่ซ้อนทับกับโลกในความเป็นจริงของเรา มันดำรงอยู่ได้เช่นไรจากรุ่นสู่รุ่น จากปีเตอร์ เอเวเดล มาสู่ศรี อรพินโท และต่อเนื่องไปอีก พวกเขาอาศัยแก่นสารเยี่ยงไรที่หล่อเลี้ยงโลกที่ว่านี้ให้ดำรงอยู่ โดยเฉพาะเมื่อการดำรงอยู่ของมันคือการตั้งตนเป็นศัตรูกับผู้รุกรานที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งเช่นกองทัพญี่ปุ่น
เมื่อข้าพเจ้านึกถึงกองทัพญี่ปุ่น ข้าพเจ้าย่อมไม่อาจละเว้นไม่ระลึกถึงพันตรี โทรุ ซากาโมโต้ เสียได้ นับตั้งแต่วันแรกที่ข้าพเจ้าได้พบกับเขา ข้าพเจ้ารู้ดีว่าไม่มีวันที่มิตรภาพระหว่างเราจะงอกเงยขึ้นมาได้ สายตาของเขา ท่าทีของเขาที่มีต่อข้าพเจ้าแสดงท่าทีแห่งศัตรูอย่างชัดเจน ไม่นับว่าความโหดร้ายที่เขากระทำต่อชายผู้น่าสงสารแห่งบุหงา รำไพ นั่นเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อาจให้อภัยเขาได้
บุหงา รำไพ คือสถานที่แห่งใดกันแน่ ไฉนชายผู้น่าสงสารนั้นจึงมีท่าทีที่ผิดแผกแตกต่างออกไปเมื่อข้าพเจ้ากลับออกจากรสา ดาราห์ ทำไมเขาจึงปฏิเสธว่าไม่เคยพบข้าพเจ้ามาก่อนเลย ทำไมเขาจึงกระทำกับข้าพเจ้าราวกับภูติผีเมื่อข้าพเจ้ากลับออกจากรสา ดาราห์
แล้วอะไรคือรสา ดาราห์ ข้าพเจ้าผู้ผ่านเข้าไปในสถานที่นั้นแล้วก็ยังไม่อาจพรรณาความมันได้ครบถ้วน มันคือสถานเริงรมย์ โรงหญิงคนชั่ว หรือดินแดนแห่งนาฏกรรมบันเทิงอันปกปิด นอกจากการร่วมเพศกับบุหรงอันเป็นสิ่งที่ติดตราติดตรึงข้าพเจ้าจนบัดนี้แล้ว ข้าพเจ้าไม่อาจบรรยายสิ่งอื่นได้อีกเลย มีแต่ความมืดในสถานที่แห่งนั้น ข้าพเจ้าได้ชมการฟ้อนรำ แต่ก็ในความมืด ข้าพเจ้าได้ยินเสียงของความหฤหรรษ์จากพื้นที่อื่น แต่กลับไม่พบเห็นใครเลย รสา ดาลาห์ ดูจะกลืนกินทุกสิ่งเข้าไปในความมืดของมันจนหมดสิ้น ไม่เว้นแม้แต่บุหรง
บุหรง ใช่ บุหรง หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นที่รสา ดาราห์ แล้ว หญิงสาวผู้มีใบหน้าอันงาม มีท่อนแขนอันกลมกลึง และมีใบหูยาวระหงได้หายสาบสูญไปจากชีวิตข้าพเจ้า แน่ล่ะ ข้าพเจ้าติดอยู่ในร่างแหแห่งการหลบหนีครั้งนี้ แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าหากบุหรงต้องการพบข้าพเจ้า ไม่มีสิ่งใดที่จะกีดกันและขวางกั้นเธอได้ เธอมาปรากฏตัวต่อข้าพเจ้าในยามค่ำคืน และเป็นเธอโดยแท้ที่ปรากฏตัวต่อกรมพระฯ ในป่าทึบบนยอดเขาปีนังนั่น เธอไม่ต่างจากนกที่สามารถโผบินไปได้ทุกที่ที่ใจปรารถนา ข้าพเจ้าเชื่อเช่นนั้น แต่เหตุอันใดเล่าที่เธอไม่อุบัติขึ้นให้ข้าพเจ้าได้พบพาน ทั้งที่น้องสาวฝาแฝดของเธอ บุหลัน อยู่ที่นี่แล้ว
บุหลัน ใช่ บุหลัน หญิงสาวคนรักของศรี อรพินโท ภาพสะท้อนอันสมจริงของบุหรง หากแต่ในลักษณาการที่แตกต่างกัน ข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน เยือกเย็น และลึกลับของบุหรง และเช่นกันที่ข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงความเร่าร้อน พลุ่งพล่าน และเปิดเผยของบุหลัน เเละความเปิดเผยของเธอนั้นมิใช่หรือที่ทำให้ข้าพเจ้ายอมสารภาพความจริงว่าข้าพเจ้าหาใช่ไฮน์ริช เบิล ชายชาวเยอรมันที่ทุกคนเข้าใจ แต่คือฟรังซัวส์ อูแบง ชายฝรั่งเศสนับแต่ชาติกำเนิด
ข้าพเจ้าทบทวนเรื่องราวเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาในความคิดคำนึง ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าบุคคลทั้งหลายที่ปรากฏต่อข้าพเจ้าโดยฉับพลันเหล่านี้จะสูญหายไปเมื่อใด ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าโลกของวายัง อมฤต ที่บุหลันบอกกับข้าพเจ้าว่าได้ปรากฏขึ้นครั้งแรกในถ้ำแห่งนั้นจะปรากฏต่อข้าพเจ้าด้วยหรือไม่ ทุกสิ่งดูสับสน เต็มไปด้วยเงื่อนงำ ไร้ปมจะแก้ไข ข้าพเจ้าขบคิดอย่างดื่มด่ำ เดินดุ่มลึกเข้าไปในป่าทุกที และในช่วงเวลานั้นเอง เสียงร้องของเกมาเตียน บุหรง -นกแห่งความตายก็ดังขึ้น
วันที่ 3
หลังการปรากฏตัวของเกมาเตียน บุหรง เมื่อสองวันก่อน ข้าพเจ้าได้ทุ่มเทติดตามหามันไปในทุกที่ ทุกเวลา ข้าพเจ้าเดินลึกเข้าไปในป่า ในมุมของป่าที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่มีใครกล้าฝ่าเข้าไปได้ ข้าพเจ้าเปลี่ยนที่นอนจากในถ้ำมานอกถ้ำแทน หนุนก้อนหินขนาดเหมาะมือต่างหมอน มีเพียงผ้าห่มและโคมไฟดวงน้อยเป็นเพื่อน ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงนกร้อง ข้าพเจ้าจะสะดุ้งตัวตื่น ข้าพเจ้าเชื่อว่าการได้พบกับเกมาเตียน บุหรง จะไขปริศนาทั้งมวลนี้ได้ แต่แม้จะผ่านเข้าสู่วันที่สามแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังห่างไกลจากความสมหวังมากนัก
วันที่ 7
เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แห่งความผิดหวัง ข้าพเจ้าไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลยว่าความสิ้นหวังสามารถทำร้ายและทำลายคนได้ถึงเพียงนี้ ในหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานับแต่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงของเกมาเตียน บุหรง เจ้านกแห่งความตายนั่นหาได้ปรากฏตัวอีกเลย ราวกับมันได้บินผ่านมาที่นี่เพียงเพื่อจะหยอกล้อข้าพเจ้าให้จมอยู่กับปริศนาต่อไปไม่สิ้นสุด ทว่าการหยอกล้อของมันได้ทำให้ข้าพเจ้าย่อยยับอัปรา ข้าพเจ้าแทบไม่แตะต้องอาหารใดเลยนับจากนั้น มีแต่เพียงน้ำเท่านั้นที่ข้าพเจ้าใช้ประทังชีวิต เสื้อผ้าของข้าพเจ้าขาดวิ่นด้วยฤทธิ์หนามจากเถาวัลย์ป่าที่ข้าพเจ้าบุกฝ่าไป หนวดเครา เส้นผมของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยหยากไย่และฝุ่นผง เมื่อข้าพเจ้าล้างหน้าตาในลำธาร ข้าพเจ้าพบว่าเบ้าตาของตนลึกจนดวงตาแลดูเป็นดังโคมไฟที่แขวนอยู่ลอยๆ ในเบ้าตา สภาพของข้าพเจ้านั้นไม่ใช่ผู้ที่จะมีชีวิตได้ต่อไปอีกนานนัก จนแม้ศรี อรพินโท ที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักก็แลดูสมบูรณ์กว่าข้าพเจ้ามากมายนัก ข้าพเจ้าหมดสิ้นเสียแล้วซึ่งพลังชีวิต แม้สงครามกลางเมืองในสเปนที่ข้าพเจ้าพานพบประสบมาก็ยังหาได้ทำความเสียหายกับชีวิตข้าพเจ้าถึงเพียงนี้ ข้าพเจ้าตั้งใจเพียงว่าหากวันใดที่ข้าพเจ้าไม่อาจพยุงตนให้ลุกออกจากพื้นดินที่ตนเองอาศัยนอนอยู่ไปตามหานกตัวนั้นได้ ข้าพเจ้าก็จะกลั้นใจจบชีวิตเสียให้จบสิ้นไป ข้าพเจ้าเชื่อว่าความตายในยามแสวงหาจะทำให้จิตวิญญาณของข้าพเจ้ามีเสรี และอย่างน้อยมันอาจค้นหาเจ้านกตัวนั้นได้พบในโลกหน้า
ทว่าแรงปรารถนาของข้าพเจ้าหาได้สัมฤทธิ์ผลลง เย็นวันนั้นเอง มาเม็ตปรากฏตัวขึ้น และศรี อรพินโท เป็นผู้ตบบ่าอันอุดมไปด้วยโครงกระดูกของข้าพเจ้า “ฟรังซัวส์ อูแบง เวลาแห่งการสู้รบของเรามาถึงแล้ว ไปสู่ศึกสุดท้ายของเรากันเถิด”
(ติดตามตอนต่อไปในวันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน 2561)
ติดตามอ่าน วายัง อมฤต ตอนก่อนหน้าได้ที่
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 1-2)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 3-4)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 5)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 6-7)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 8)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 9)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 10)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 11-12)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 13)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 14)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 15-16)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 17)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 18)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 19)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 20)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 21)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 22)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 23)