บมจ.บุญถาวร รีเทล คอร์ปอเรชั่น (BOON) ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขาย IPO ไม่เกิน 320 ล้านหุ้น เดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เสริมความแข็งแกร่งธุรกิจ ชูศักยภาพผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านแบบครบวงจร ทั้งร้านค้าปลีกสมัยใหม่ และธุรกิจให้เช่าพื้นที่ของกลุ่มบริษัทฯ รวมทั้งรูปแบบแฟรนไชส์ที่ร่วมทุนกับกลุ่ม SCG รวม 50 สาขาในประเทศไทย เวียดนามและกัมพูชา รวมถึงการขายสินค้าโดยตรงแก่ลูกค้าผู้ประกอบการและช่องทางออนไลน์
สิทธิศักดิ์ ทยานุวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญถาวร รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BOON เปิดเผยว่า ได้เตรียมเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเสริมศักยภาพและความแข็งแกร่งแก่การดำเนินธุรกิจ
พิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม กล่าวว่า บริษัท บุญถาวร รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 1,280 ล้านบาท คิดเป็นจำนวน 1,280 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.0 บาท และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 320 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด
วัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเงินทุนในการขยายธุรกิจ ชำระคืนเงินกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ ตลอดจนเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
พงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม กล่าวว่า บริษัท บุญถาวร รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านแบบครบวงจรที่มีศักยภาพเติบโตสูง จากจุดเด่นด้านความหลากหลายของสินค้าและบริการ มีช่องทางจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั้งหน้าร้านค้าปลีกทั่วทุกภาคของประเทศไทย เวียดนาม และกัมพูชา รวมทั้งการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ครอบคลุมแพลตฟอร์มต่างๆ รวมถึงมีกลุ่ม SCG เป็นพาร์ตเนอร์ที่แข็งแกร่ง โดยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งแก่การดำเนินธุรกิจและแผนงานเติบโตในอนาคต
ทั้งนี้ บุญถาวร รีเทล คอร์ปอเรชั่น เป็นผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านแบบครบวงจร ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 มีร้านค้าปลีกสมัยใหม่รวมทั้งสิ้น 50 สาขา ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ (Strategic Location) และมีโอกาสในการเติบโตในอนาคต ประกอบด้วย
- ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ของกลุ่มบริษัทฯ 15 สาขา แบ่งเป็น ร้านบุญถาวรที่เป็นรูปแบบสแตนด์อโลน จำนวน 11 สาขา ซึ่งตั้งอยู่ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย, โครงการ Design Village ซึ่งเป็น Community Living Mall จำนวน 4 สาขาโดยตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป
- ร้านค้าปลีกสมัยใหม่รูปแบบแฟรนไชส์ที่ร่วมทุนกับบริษัท เอสซีจี รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด (กลุ่ม SCG) ภายใต้ชื่อ ‘SCG HOME’ และ ‘SCG HOME บุญถาวร’ จำนวน 35 สาขา ในจำนวนนี้อยู่ในพื้นที่ทุกภาคของประเทศไทย 33 สาขา และต่างประเทศอีก 2 สาขา ได้แก่ เวียดนามและกัมพูชา
ปัจจุบันมีกลุ่มสินค้าที่จำหน่ายใน 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ กระเบื้องและวัสดุปิดผิว เครื่องสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ห้องน้ำที่เกี่ยวข้อง เครื่องครัว โคมไฟและอุปกรณ์ส่องสว่าง และสินค้าอื่นๆ เกี่ยวกับบ้านและเฟอร์นิเจอร์ ที่จำหน่ายภายใต้ร้านค้าปลีกของกลุ่มบริษัทฯ กว่า 90,000 SKUs ภายใต้แบรนด์ของกลุ่มบริษัทฯ (Private Brand) ที่กลุ่มบริษัทฯ ผลิตเอง และว่าจ้างผู้ผลิตภายนอก และสินค้าภายใต้แบรนด์อื่นๆ (Market Brand) ทำให้สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์การตกแต่งที่อยู่อาศัยอันหลากหลายของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม ทั้งลูกค้ารายย่อย (B2C) และลูกค้าผู้ประกอบการ (B2B)
นอกจากนี้ ยังมีโรงงานผลิตชุดครัวสั่งทำและตู้ชุดครัวสำเร็จรูปของกลุ่มบริษัทฯ มีกำลังการผลิตชุดครัวสั่งทำ 425 ยูนิตต่อเดือน และตู้ชุดครัวสำเร็จรูป 7,000 ตู้ต่อเดือน รวมถึงมีศูนย์กระจายสินค้าทั้งหมด 7 อาคาร สามารถจัดเก็บสินค้าได้มากกว่า 1 แสนตำแหน่งบนเนื้อที่มากกว่า 90 ไร่
ขณะเดียวกัน ได้พัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์จากการเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคที่จะมีแนวโน้มที่จะมีการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ได้แก่ เว็บไซต์ของกลุ่มบริษัท และแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสอย่าง Shopee, Lazada, NocNoc ฯลฯ โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 มีสมาชิก ‘บุญถาวร แฟมิลี่’ มากกว่า 1,000,000 ราย และมีบริการลูกค้าที่เกี่ยวเนื่องแบบครบวงจร ตั้งแต่การจัดส่งสินค้า การออกแบบสามมิติ รวมถึงบริการติดตั้ง และซ่อมแซม เพื่อมอบประสบการณ์การซื้อสินค้าแบบครบวงจร (One Stop Service) ให้แก่ลูกค้าของกลุ่มบริษัทฯ
“เรามีประสบการณ์ดำเนินธุรกิจกว่า 40 ปี พร้อมพนักงานและผู้บริหารมืออาชีพ ทำให้สามารถจัดหาสินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าภายใต้แนวคิด ‘Ideas Come Alive’ และมีวิสัยทัศน์ที่จะเป็น ‘Live Good Ecosystem’ มุ่งพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านสินค้าและนวัตกรรมการอยู่อาศัยเพื่อโลกที่ดีขึ้นและสังคมที่ยั่งยืน ส่งผลให้เราเป็นหนึ่งในผู้นำและศูนย์รวมสินค้าวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านอย่างครบวงจรอันดับต้นๆ ในใจของลูกค้า โดยมีส่วนแบ่งการตลาดยอดขายกระเบื้อง 22.1% และมีส่วนแบ่งการตลาดยอดขายสุขภัณฑ์ 33.5%1 ในปี 2565 ซึ่งทั้งสองผลิตภัณฑ์เป็นผลิตภัณฑ์หลักที่สำคัญของกลุ่มบริษัท” สิทธิศักดิ์กล่าว