ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ประกาศตั้ง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์ความเจริญรุ่งเรือง (Operation Prosperity Guardian)’ ซึ่งเป็นปฏิบัติการร่วม 10 ประเทศนำโดยสหรัฐฯ เพื่อรับมือความท้าทายด้านความปลอดภัยในทะเลแดงตอนใต้และอ่าวเอเดน หลังกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนก่อเหตุใช้โดรนและขีปนาวุธโจมตีเรือทุกชนิด รวมถึงเรือสินค้าและเรือบรรทุกน้ำมันที่มุ่งหน้าไปทางอิสราเอล หรือออกมาจากอิสราเอลและผ่านน่านน้ำสากลในทะเลแดง เพื่อตอบโต้การโจมตีฉนวนกาซาของอิสราเอล
“ประเทศต่างๆ จะต้องร่วมมือกันเพื่อรับมือกับความท้าทายที่เกิดจากผู้มีบทบาทที่ไม่ใช่รัฐรายนี้ ซึ่งยิงขีปนาวุธและโดรน (UAV) ใส่เรือสินค้าจากหลายประเทศ ที่เดินทางผ่านน่านน้ำสากลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย” ออสตินกล่าว และย้ำว่าการโจมตีของกลุ่มฮูตีที่เพิ่มมากขึ้น “คุกคามการไหลเวียนอย่างเสรีของการค้า และเป็นอันตรายต่อกะลาสีเรือผู้บริสุทธิ์ และละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ”
การประกาศตั้งปฏิบัติการดังกล่าว มีขึ้นหลังเรือยูเอสเอส คาร์นีย์ (USS Carney) ของสหรัฐฯ ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากเรือบรรทุกน้ำมันและสารเคมี Swan Atlantic ที่ถูกโจมตีด้วยโดรนและขีปนาวุธ ระหว่างเดินทางผ่านน่านน้ำตอนใต้ของทะเลแดง ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเป็นการโจมตีจากพื้นที่ปกครองของกลุ่มฮูตีในเยเมน นอกจากนี้ ยังมีเรือพาณิชย์อีกลำหนึ่งตกเป็นเป้าโจมตีของกลุ่มฮูตีเช่นกัน
ขณะที่กลุ่มฮูตีซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านเช่นเดียวกับกลุ่มฮามาส ได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบการโจมตีเรือทั้ง 2 ลำ โดยอ้างว่าเรือทั้ง 2 ลำดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับอิสราเอล และยืนยันว่า “จะไม่ทำอันตรายต่อเรือที่มุ่งหน้าไปยังท่าเรือต่างๆ ทั่วโลก ยกเว้นท่าเรือของอิสราเอล”
สำหรับน่านน้ำสากลในทะเลแดงนั้น ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นเส้นทางขนส่งทางทะเลที่มีสัดส่วนกว่า 12% ของการค้าโลก
โดยนอกจากสหรัฐฯ ยังมีสหราชอาณาจักร, บาห์เรน, แคนาดา, ฝรั่งเศส, อิตาลี, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เซเชลส์ และสเปน ที่เข้าร่วมในปฏิบัติการใหม่นี้ และยังมีหลายประเทศที่ตกลงเข้าร่วมในปฏิบัติการดังกล่าว แต่ไม่ต้องการเปิดเผยชื่อต่อสาธารณะ
ภาพ: Anna Moneymaker / Getty Images
อ้างอิง:
