นักวิเคราะห์กาแฟและผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศคาดการณ์ว่าปรากฏการณ์เอลนีโญที่กำลังจะมาถึงในช่วงครึ่งปีหลังนี้ อาจส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อผลผลิตเมล็ดกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้ามากกว่าสายพันธุ์อาราบิก้า เนื่องจากรูปแบบของปรากฏการณ์เอลนีโญที่ส่งผลต่อปริมาณน้ำฝนและระดับอุณหภูมิ อาจทำให้ผลผลิตเมล็ดกาแฟโรบัสต้าลดลงและยังมีราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะในสองประเทศผู้ผลิตรายใหญ่อย่างเวียดนามและบราซิล ซึ่งความกังวลดังกล่าวทำให้ราคาเมล็ดกาแฟโรบัสต้าพุ่งสูงสุดในรอบ15 ปี
เฟอร์นานโด แม็กซิมิเลียโน (Fernando Maximiliano) นักวิเคราะห์ด้านกาแฟจาก StoneX บริษัทป้องกันความเสี่ยงเชิงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกา ชี้ว่าผลผลิตเมล็ดกาแฟโรบัสต้าในบราซิลเคยลดลงเกือบ 40% ในช่วงที่เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญครั้งล่าสุดระหว่างปี 2015-2016 ซึ่งส่งผลให้เกิดภัยแล้งในรัฐเอชปีรีตูซังตู (Espírito Santo) แหล่งเพาะปลูกเมล็ดกาแฟโรบัสต้าแหล่งใหญ่ของบราซิล
แต่ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวได้มีการเตรียมพร้อมรับมือที่ดีขึ้นด้วยการลงทุนในอ่างเก็บน้ำและระบบชลประทาน อย่างไรก็ตาม ศักยภาพของผลผลิตเมล็ดกาแฟยังขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสภาพอากาศแห้งแล้งที่คาดว่าจะเกิดจากเอลนีโญ
ด้านสำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติของเวียดนามคาดการณ์ว่าประมาณกลางปี 2023 ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2024 มีโอกาสราว 70-80% ที่ปรากฏการณ์เอลนีโญจะทวีความรุนแรงขึ้น และคาดว่าอุณหภูมิของประเทศในช่วงนั้นจะพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์
สำหรับกาแฟอาราบิก้าซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีความนุ่มนวลกว่ากาแฟโรบัสต้าและเป็นที่นิยมในร้านกาแฟระดับไฮเอนด์นั้น คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญน้อยกว่า
โดยก่อนหน้านี้ผู้ผลิตเมล็ดกาแฟในทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ต่างเผชิญกับปัญหาปริมาณฝนที่มากเกินไป เนื่องจากปรากฏการณ์ลานีญาในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่ตอนนี้พบว่าสภาพอากาศเริ่มกลับสู่ภาวะปกติแล้ว
ทางด้าน นาตาเลีย กันดอลฟี (Natalia Gandolphi) นักวิเคราะห์กาแฟจาก hEDGEpoint กล่าวว่า ในประเทศที่ผลิตกาแฟอาราบิก้าอันดับ 1 ของโลกอย่างบราซิล ปรากฏการณ์เอลนีโญนั้นยังสามารถช่วยลดภาวะน้ำค้างแข็งที่ปกคลุมพืชผลกาแฟได้
อย่างไรก็ตาม ผลผลิตเมล็ดกาแฟอาจได้รับความเสียหายหากอุณหภูมิสูงเกินไปในช่วงระยะออกดอกของฤดูเก็บเกี่ยวปี 2024-2025 ราวเดือนกันยายน ซึ่งจะทำให้ต้นกาแฟออกดอกมากเกินไป
แฟ้มภาพ: Dasril Roszandi/Anadolu Agency via Getty Images
อ้างอิง: