ฤดูร้อนประเทศไทยปีนี้อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยแตะถึง 35.5 องศาเซลเซียส ร้อนกว่าปีที่แล้ว ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาหลายคนมองหาเมนูคลายร้อน โดยน้ำแข็งไส เมนูภูมิปัญญาไทยที่กลับมาเป็นกระแสมากขึ้นจากสื่อโซเชียลในฤดูร้อนปีนี้ และปัจจุบันมีการนำเมนูน้ำแข็งไสแบบจีน เกาหลี และญี่ปุ่น มาดัดแปลงเป็นรสชาติสไตล์ไทยให้ถูกปากคนไทยมากขึ้น
สำหรับปีนี้ยอดออร์เดอร์เดลิเวอรีเมนูน้ำแข็งไส-บิงซูบน LINE MAN เติบโตสูงขึ้นเท่าตัวในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเมนูน้ำแข็งไส-บิงซูรสชาติขายดี ได้แก่ น้ำแข็งไส-บิงซูรสนมสด, รสชาไทย, รสโอวัลติน และรสลำไย ตามลำดับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- สื่อจีนยก ‘เทศกาลสงกรานต์’ พระเอกฟื้นรายได้ไทย ‘กรุงเทพฯ’ แชมป์หมุดหมายท่องเที่ยวยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวต่างชาติค้นหามากสุด
- สถิติชี้หุ้นไทยหลังสงกรานต์บวกเฉลี่ย 30 จุด แต่จะกลับสู่ระดับ 1,700-1,800 จุด ต้องอาศัยเงินต่างชาติและผลเลือกตั้งเป็นใจ
- GrabMart เผย 5 สินค้าขายดีช่วงสงกรานต์ เล็งเพิ่มผลไม้หน้าร้อนอย่างทุเรียน มะยงชิด และกางเกงช้าง รับเทรนด์ฮิต
ปัจจุบัน LINE MAN มีจำนวนร้านที่ขายเมนูน้ำแข็งไสและบิงซูกว่า 50,000 ร้านทั่วประเทศ โดยร้านที่ขายดีที่สุดในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้แก่ ร้านถิงถิง บิงซูน้ำขิง, ร้านเช็งซิมอี๊ และร้านภูเกล็ด
ขณะที่ร้านท้องถิ่นที่ขายดีที่สุดในพื้นที่ต่างจังหวัด ได้แก่ ร้านน้ำแข็งไสหลังโรงเรียนวีรนาท จังหวัดพัทลุง, ร้านปังหวาน (สี่แยกพันต้น) จังหวัดน่าน และร้านน้ำแข็งไสป้าดี ยุทธศาสตร์ ซอย 9 จังหวัดนครศรีธรรมราช
นอกจากนี้ LINE MAN MART ยังเปิดเผยสินค้าที่ถูกค้นหามากที่สุด 5 อันดับแรกในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ได้แก่ ปืนฉีดน้ำ, น้ำแข็ง, พวงมาลัย, ซองกันน้ำ และผ้าอนามัยแบบสอด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์จำเป็นสำหรับการเล่นสงกรานต์ สะท้อนกระแสคึกคักของการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ได้เป็นอย่างดี
ขณะเดียวกันจากสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการท่องเที่ยว รวมถึงผลสำรวจสะท้อนว่า กลุ่มตัวอย่างคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่มีแผนที่จะเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ
ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของคนไทยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 5 วัน ระหว่างวันที่ 13-17 เมษายน 2566 น่าจะมีจำนวน 5.1 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 28.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
และประเมินว่าการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2566 น่าจะมีมูลค่า 2.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน