ผู้บริหาร บมจ.แสนสิริ ออกมาชี้แจงกรณีที่ในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทมีการประกาศขายสินทรัพย์ 2 ดีล มูลค่ารวม 1,225 ล้านบาท ได้แก่
- ขายกิจการโรงเรียนสาธิตพัฒนารับเงินทั้งสิ้น 1,210 ล้านบาท
- ตัดหุ้นบริษัทย่อยคือ บริษัท ธฤดี จำกัด ออก 30% ได้รับเงินรวม 15 ล้านบาท
อุทัย อุทัยแสงสุข ผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บมจ.แสนสิริ หรือ SIRI ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ว่า กรณีที่บริษัทตัดสินใจขายกิจการโรงเรียนสาธิตพัฒนา มูลค่าการขายรวม 1,210 ล้านบาท และล่าสุดแบ่งหุ้นบริษัทย่อยคือ บริษัท ธฤดี จำกัด ออกมา 30% ได้รับเงินรวม 15 ล้านบาทนั้น ขอยืนยันว่า ไม่ได้มาจากเหตุผลที่บริษัทมีความจำเป็นในการใช้เงิน หรือไม่ได้มีปัญหาการขาดสภาพคล่องจนต้องขายทรัพย์สินออกมา แต่เป็นเหตุผลในเชิงของแผนการดำเนินธุรกิจปกติ
สำหรับกรณีแรกที่ขายกิจการโรงเรียนสาธิตพัฒนา เนื่องจากมีการพิจารณาแล้วว่า ธุรกิจโรงเรียนไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัทในปัจจุบัน ขณะที่หลังจากบริษัทเริ่มลงทุนธุรกิจโรงเรียนในปี 2552 ถึงปัจจุบัน ธุรกิจโรงเรียนสาธิตพัฒนามีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีนักลงทุนให้ความสนใจต้องการซื้อกิจการโรงเรียนต่อจากบริษัทในราคาที่ดีเพื่อลงทุนต่อ บริษัทจึงตัดสินขายออกไป ส่งผลให้บริษัทจะได้รับกำไรพิเศษจากการขายในครั้งนี้ ซึ่งจะมีการบันทึกเข้ามาในงบการเงินไตรมาส 1/66
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
- ‘แสนสิริ’ ขายกิจการ ‘โรงเรียนสาธิตพัฒนา’ รับเงิน 1,210 ล้านบาท ได้ราคาสูงกว่ามูลค่าทางบัญชี คาดมีกำไรจากการขาย
- เศรษฐา ทวีสิน ประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งผู้บริหารและบอร์ดของแสนสิริ มีผลตั้งแต่ 3 เม.ย. ที่ผ่านมา ด้านราคาหุ้นวิ่งกว่า 2%
- เศรษฐา ทวีสิน โอนหุ้นแสนสิริ 4.44% เกลี้ยงพอร์ต ยกให้ลูกสาว พร้อมประกาศลางานบริหารชั่วคราว ไปนั่งเก้าอี้ประธานที่ปรึกษาฯ เพื่อไทย
SIRI รับกำไรพิเศษหลายร้อยล้านจากการขายโรงเรียนสาธิตพัฒนา
“ในอดีตที่บริษัทตัดสินใจลงทุนธุรกิจโรงเรียน เพราะในช่วงนั้นเรามีโครงการบ้านเดี่ยวค่อนข้างเยอะ การมีโรงเรียนก็เพื่อเสริมธุรกิจขายโครงการบ้านของบริษัท แต่ปัจจุบันกิจการโรงเรียนเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เราเห็นว่าไม่ใช่ธุรกิจหลัก จึงตัดสินขายออกไป ซึ่งจะมีการบันทึกกำไรพิเศษเข้ามาจากโรงเรียนสาธิตพัฒนาในงบการเงินไตรมาส 1/66 จำนวนหลายร้อยล้านบาท”
ส่วนสาเหตุที่บริษัทแบ่งขายหุ้นของบริษัทย่อยคือ บริษัท ธฤดี จำกัด ออกไปสัดส่วน 30% ให้แก่กองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) สอดคล้องกับนโยบายในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ที่จะมีการร่วมทุนในการดำเนินธุรกิจกับพันธมิตรธุรกิจอยู่แล้วในลักษณะเป็น Strategic Partnership โดยก่อนหน้านี้บริษัทก็เคยร่วมทุนทั้งกับกลุ่ม บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ BTS และกลุ่มโตคิว เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในหลายโครงการ
ทั้งนี้ หลังจากที่บริษัทมีกองทุนส่วนบุคคล ซึ่งเป็นกองทุนของไทย มาร่วมทุนในบริษัทธฤดี มีแผนที่จะร่วมกันเปิดตัวพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต
“การร่วมทุนกับพาร์ตเนอร์มีข้อดีคือ ทำให้เรา Diversify ในการทำธุรกิจได้ดีขึ้น การร่วมทุนเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ซึ่งอยู่ในแผนงานธุรกิจของบริษัท ไม่ได้มาจากการที่บริษัทมีปัญหาเรื่องการเงิน ถือเป็นวิธีการทำธุรกิจปกติ”
จากการตรวจสอบข้อมูลงบการเงินของ บมจ.แสนสิริ THE STANDARD WEALTH พบว่า งบการเงินล่าสุด ณ สิ้นปี 2565 บริษัทเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 2,659.68 ล้านบาท
ล่าสุดวันนี้ บมจ.แสนสิริ แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2566 บริษัทได้แบ่งขายหุ้นสามัญของบริษัทย่อยคือ บริษัท ธฤดี จำกัด สัดส่วน 30% เป็นจำนวน 150,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท ให้แก่กองทุนส่วนบุคคล ซึ่งบริหารโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็กซ์สปริง จำกัด ในราคาซื้อ-ขายทั้งสิ้น 15 ล้านบาท
ทั้งนี้ การทำรายการในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ให้บริษัทธฤดีเป็นบริษัทร่วมทุนในสัดส่วน 70% และ 30% ระหว่างบริษัทและกองทุนส่วนบุคคล เพื่อพัฒนาโครงการที่พักอาศัยเพื่อขาย
ก่อนหน้าเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2566 บมจ.แสนสิริ แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัท อาณาวรรธน์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้น 100% ได้เข้าทำธุรกรรมจำหน่ายทรัพย์สินและสิทธิเกี่ยวกับกิจการของโรงเรียนสาธิตพัฒนาให้แก่ผู้ซื้อคือ บริษัท เดอะ เบสท์ เอ็ดดูเคชั่น จำกัด ซึ่งตกลงราคาซื้อ-ขายคิดเป็นเงินทั้งสิ้น 1,210 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในปี 2552 บมจ.แสนสิริ ได้ประกาศลงทุนเข้าซื้อกิจการโรงเรียนสาธิตพัฒนา มูลค่าลงทุนรวมประมาณ 291.22 ล้านบาท